
การเทรด Futures & Options เปิดโอกาสให้เทรดเดอร์ทำกำไรได้สองทาง: Long (ซื้อ) คือการเดิมพันว่าราคาจะขึ้น โดยมีความเสี่ยงขาดทุนจำกัดที่ 100% ของเงินลงทุน และ Short (ขาย) คือการเดิมพันว่าราคาจะลง ซึ่งทำให้สามารถทำกำไรในช่วงตลาดขาลงได้ แต่มี ความเสี่ยงขาดทุนไม่จำกัด (Unlimited Loss) เนื่องจากราคาทางทฤษฎีสามารถพุ่งขึ้นได้ไม่สิ้นสุด ความเสี่ยงที่ไม่สมมาตรนี้ทำให้การ Short ต้องใช้ วินัยด้าน Stop Loss สูงกว่ามาก และต้องเข้าใจกลไก Short Squeeze เพื่อป้องกันพอร์ตจากการขาดทุนรุนแรง การควบคุมความเสี่ยงในการ Short คือหัวใจสำคัญสู่การเป็นเทรดเดอร์ที่อยู่รอดในทุกสภาวะตลาด
คุณเคยรู้สึกไหมว่า ในช่วงที่ตลาดหุ้นดิ่งเหว มีแต่ข่าวร้าย แต่กลับมีคนบางกลุ่มสามารถทำกำไรได้อย่างมหาศาล? พวกเขากำลังทำอะไรที่แตกต่างไปจากนักลงทุนทั่วไป?
คำตอบคือ พวกเขากำลังใช้ความสามารถของตลาดอนุพันธ์ (Futures & Options) เพื่อทำกำไรจากการ "Short" หรือการขายทำกำไรในขาลง ซึ่งเป็นสิ่งที่ตลาดหุ้นปกติทำได้ยาก บทความนี้จะเจาะลึกถึงหลักการทำกำไรทั้งสองทางคือ Long (ซื้อ) และ Short (ขาย) ในบริบทของ Futures & Options และเปิดเผยถึง "ความเสี่ยงที่ไม่เท่ากัน" ที่เทรดเดอร์ทุกคนต้องรู้ เพื่อให้คุณสามารถประยุกต์ใช้กลยุทธ์ได้อย่างรอบด้านและเข้าใจถึงกลไกตลาดอย่างลึกซึ้ง
The Core Concept: เข้าใจ Long และ Short ในโลกของ Futures และ Options
การเทรดอนุพันธ์อย่าง Futures และ Options นั้นแตกต่างจากการซื้อหุ้นตรงที่คุณไม่ได้เป็น "เจ้าของ" ในสินทรัพย์นั้นจริง ๆ แต่คุณกำลังทำ "สัญญา" เพื่อซื้อหรือขายสินทรัพย์นั้นในอนาคต (Futures) หรือซื้อสิทธิ์ที่จะซื้อ/ขายในอนาคต (Options) ทำให้เกิดมิติของการทำกำไรได้ทั้งสองทาง ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารความเสี่ยง (Hedging) และการเก็งกำไร (Speculation)
มุมมองเชิงลึก: การ Long Position สะท้อนถึง "Bullish Sentiment" หรือความเชื่อมั่นในทิศทางเศรษฐกิจหรือสินทรัพย์นั้นๆ ว่ามีศักยภาพในการเติบโตในระยะเวลาของสัญญา
มุมมองเชิงลึก: การ Short Position สะท้อนถึง "Bearish Sentiment" หรือความกังวลต่อปัจจัยพื้นฐาน หรือการคาดการณ์ภาวะ "Risk-Off" (การเทขายสินทรัพย์เสี่ยง) ในตลาด
The Danger: ทำไมความเสี่ยงของการ Short กับ Long จึง "ไม่เท่ากัน" (Asymmetrical Risk)
นี่คือความจริงทางคณิตศาสตร์และการเงินที่เทรดเดอร์มืออาชีพต้องตระหนักถึงอย่างลึกซึ้งก่อนตัดสินใจ Short
|
ปัจจัยเปรียบเทียบ |
Long Position (การซื้อ) |
Short Position (การขาย) |
|
กำไรสูงสุด |
ไม่จำกัด (Unlimited) |
จำกัด (Limited) |
|
ขาดทุนสูงสุด |
จำกัด – ขาดทุนได้เต็มที่คือมูลค่าสัญญาเป็นศูนย์(สินค้าอ้างอิงมูลค่าเหลือ 0) |
ไม่จำกัด (Unlimited) (ราคาสินค้าอ้างอิงขึ้นได้ไม่จำกัด) |
|
ขีดจำกัดราคา |
ราคาต่ำสุดคือ 0 |
ราคาสูงสุดทางทฤษฎีคือ ไม่มีที่สิ้นสุด |
|
ความถี่ของ Gap |
เกิดขึ้นเมื่อมีข่าวดีมาก (ไม่บ่อยเท่า) |
มีโอกาสเกิด "Gap Up" สูงกว่ามาก เมื่อมีข่าวดีที่ไม่คาดคิด |
ความเสี่ยงที่ไม่เท่ากันนี้เกิดจากข้อเท็จจริงทางคณิตศาสตร์และจิตวิทยา:
ข้อควรระวัง และสำคัญสำหรับความเสี่ยงในการลงทุน Futures กรณีเลวร้าย หากราคาสินค้าอ้างอิงปรับตัวลงรุนแรง หรือเปิดกระโดดลง(เนื่องจากตลาดหุ้นและฟิวเจอร์ส ไม่ได้เปิด 24ชั่วโมง จึงมีโอกาสที่ราคาสินทรัพย์จะเปิดที่ราคาต่ำตั้งแต่ช่วงที่ตลาดเปิดทำการในวันนั้น เพราะฉะนั้นการเทรด หรือลงทุนใน Futures จึงมีความเสี่ยงที่สามารถเกิดการขาดทุนเกินกว่าเงินลงทุนเริ่มต้นในสัญญา(Initial Margin) ได้เช่นกัน
หลักการป้องกันความเสี่ยง: "การเทรด Long ใช้การวิเคราะห์ 'มูลค่าที่แท้จริง' เพื่อหาจุดเข้า แต่การเทรด Short ต้องใช้การวิเคราะห์ 'การบริหารความเสี่ยง' เป็นแกนหลัก เพราะคุณกำลังเดิมพันกับเพดานราคาที่ไม่มีอยู่จริง"
The Short Squeeze Mechanism (กลไกการบีบ Short)
เมื่อคุณ Short คุณกำลังสร้าง Demand ในอนาคต กล่าวคือ คุณต้อง ซื้อคืน เพื่อปิด Position ปรากฏการณ์ Short Squeeze เกิดขึ้นเมื่อ:
นี่คือเหตุผลว่าทำไมการ Short จึงต้องมี วินัยด้าน Stop Loss สูงกว่าการ Long หลายเท่า
* Positive Feedback Loop คือ วงจรที่ทำให้แรงกดดันต่อราคา “ยิ่งทวีความรุนแรงในทิศทางเดิม” เพราะพฤติกรรมของผู้เล่นในตลาดไป “เสริมแรง” ให้ราคาเคลื่อนที่ตามทิศทางที่ตัวเองไม่ต้องการ (โดยเฉพาะฝั่งที่ขาดทุน)
ภาพตัวอย่างความเสี่ยงของการเล่นฝั่ง Short และไม่มีการตั้ง Stop loss เพื่อจำกัดความเสี่ยง ซึ่งมีโอกาสสร้างความเสียหายได้อย่างมาก

หมายเหตุ : ผลตอบแทนที่แสดงในภาพ มาจากการใช้เงินลงทุนเท่ากับมูลค่าของสัญญา หากมีการใช้เงินลงทุนน้อยกว่ามูลค่าสัญญาจะยิ่งส่งผลให้กำไร/ขาดทุนเพิ่มขึ้นกว่าเดิมซึ่งจะขึ้นอยู่กับ Leverage กี่เท่า
การประยุกต์ใช้
สถานการณ์จำลอง: การใช้ Futures เพื่อ Short Against the Box
การใช้ต่อยอด: การ Short ใน Futures สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการ "ป้องกันความเสี่ยง" (Hedging) พอร์ตหุ้นทั้งหมดได้ เมื่อคุณไม่ต้องการขายหุ้นที่มีอยู่จริง แต่ต้องการทำประกันมูลค่าพอร์ตไว้ชั่วคราวในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง(ควรดูว่าการ Short futures สินค้าตัวนั้น เป็นสินค้าอ้างอิงโดยตรงของพอร์ตที่ลงทุนหรือไม่ หากไม่ใช่ควรพิจารณาค่าBeta เพื่อดูความสอดคล้องของผลตอบแทนพอร์ตรวมกับfutures ของสินทรัพย์ที่เปิดสถานะเพื่อป้องกันความเสี่ยง)
ข้อควรระวังสำหรับเทรดเดอร์ที่ Short
สรุปและสิ่งที่ต้องทำ
การเรียนรู้ที่จะ Long และ Short ทำให้คุณเป็นเทรดเดอร์ที่สามารถทำกำไรและบริหารความเสี่ยงได้ในทุกทิศทางของตลาด
|
Long Position (ซื้อ) |
Short Position (ขาย) |
|
ใช้เมื่อเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโต |
ใช้เมื่อคาดการณ์ภาวะ Risk-Off หรือ Overvaluation |
|
ความเสี่ยงขาดทุนจำกัด (ง่ายต่อการบริหาร) |
ความเสี่ยงขาดทุนไม่จำกัด (ต้องเข้มงวดกับ SL) |
|
ต้องมีความอดทนรอการเติบโต |
ต้องมีวินัยในการเข้า-ออกที่เฉียบขาด (เพราะตลาดลงเร็ว) |
แนวคิดทิ้งท้าย
จงมอง Long Position เหมือนการปลูกต้นไม้ และ Short Position เหมือนการเป็นนายพรานที่ต้องล่าอย่างรวดเร็วและระมัดระวังที่สุด การใช้เครื่องมือทำกำไรขาลงได้ดี สะท้อนถึงวุฒิภาวะของเทรดเดอร์ในการยอมรับความเสี่ยงสูงสุด หรือหากต้องการจำกัดความเสี่ยงที่กำหนดได้ชัดเจน ให้เลือกใช้ การ Long Options แทนเพื่อจำกัดความเสียหายสูงสุดเพียงค่าพรีเมียมที่จ่าย (ซึ่งสิ่งสำคัญที่ควรต้องเข้าใจคือ การลงทุนหรือเทรดสินค้าที่เป็น Options จะมีวันหมดอายุ(Expiry) ไม่สามารถถือลงทุนเหมือนหุ้นสามัญได้ )

🚀ลงทุน TFEX เข้าถึงโอกาสทำกำไรในตลาดอนุพันธ์ได้อย่างง่ายดายแค่ปลายนิ้ว
เพียงแค่เปิดบัญชีกับ InnovestX และ Activate บัญชี TFEX
⚠️ คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนการซื้อขายฟิวเจอร์สและออปชั่น มีความเสี่ยงสูงที่อาจก่อนให้เกิดผลขาดทุนอย่างมีนัยสำคัญจังไม่เหมาะสมกับบุคคลทุกคน ก่อนตัดสินใจซื้อขายฟิวเจอร์สและออปชั่น ท่านควรพิจารณาถึงฐานะทางการเงินวัตถุประสงค์การลงทุน ตลอดจนความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้อย่างรอบคอบเนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่ท่านอาจสุญเสียเงินลงทุนมากกว่าเงินลงทุนเริ่มแรก