เข้าสู่ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีแบบนี้ สิ่งที่วัยทำงานอย่างเราจะลืมไปไม่ได้ ก็คือการวางแผนลดหย่อนภาษี ซึ่งหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยม ก็คือการซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี ที่มีให้เลือกมากมาย ทั้ง SSF, RMF หรือ Tha iESG
วันนี้เราจะมาสรุปแนวทางการลดหย่อนภาษีด้วยกองทุน SSF, RMF และ Thai ESG มาดูกันว่ากองทุนทั้ง 2 ประเภทต่างกันอย่างไร และควรซื้อเท่าไหร่เพื่อให้เราลดหย่อนภาษีได้อย่างคุ้มค่า
การลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีจะช่วยให้เราประหยัดภาษีได้มากขึ้น เพราะเงินที่นำไปลงทุนสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งจะช่วยให้เรามีเงินเหลือมากขึ้นในแต่ละปี และสามารถนำไปต่อยอดการลงทุน เก็บเป็นเงินออม หรือใช้จ่ายในสิ่งจำเป็นอื่น ๆ ได้ นอกจากนี้ การที่กองทุนมีเงื่อนไขการถือครองระยะยาว ยังช่วยให้เรามีวินัยในการออมเงินอย่างสม่ำเสมอ และวางแผนการเงินในระยะยาวได้ดียิ่งขึ้น
นอกเหนือไปจากสิทธิประโยชน์ทางภาษี การซื้อกองทุนลดหย่อนภาษียังเปิดโอกาสให้เราได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน โดยกองทุนเหล่านี้บริหารโดยผู้จัดการกองทุนมืออาชีพที่มีประสบการณ์ มีการกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง และด้วยการลงทุนระยะยาว เราจึงมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงินทั่วไป รวมถึงได้ประโยชน์จากการทบต้นของผลตอบแทนอีกด้วย
กองทุน RMF คือ กองทุนรวมที่ช่วยให้ผู้ลงทุนได้ออมเงินไว้ใช้จ่ายในยามที่เกษียณอายุ โดยมีเงื่อนไขที่ส่งเสริมการออมระยะยาวอย่างต่อเนื่อง
กองทุน SSF คือ กองทุนเพื่อส่งเสริมการออมในระยะยาว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการวางแผนภาษีและการลงทุนระยะยาว แต่ไม่ต้องการข้อผูกมัดในการลงทุนต่อเนื่องทุกปี
กองทุน Thai ESG คือ กองทุนรวมที่เน้นการลงทุนในบริษัทที่มีการดำเนินงานตามหลักสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social, and Governance – ESG) เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนและมีความรับผิดชอบต่อสังคม
สำหรับใครที่กำลังสงสัยว่า เราสามารถซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีได้เท่าไหร่ ? อันดับแรก เริ่มจากการทำความเข้าใจเงื่อนไขของการลดหย่อนภาษีกันก่อน
การลงทุนในกองทุน RMF มีเงื่อนไขว่า เราสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี โดยต้องนำไปรวมกับเงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ นอกจากนี้ เรายังจำเป็นต้องลงทุนอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยเว้นได้ไม่เกิน 1 ปีติดต่อกัน
สำหรับกองทุน SSF เราสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษีเช่นกัน แต่มีเพดานสูงสุดอยู่ที่ 200,000 บาท ข้อดีคือไม่จำเป็นต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี เพราะเราสามารถเลือกลงทุนในปีที่ต้องการได้ โดยการลงทุน RMF และ SSF เมื่อนำรวมกับกลุ่มลดหย่อนเกษียณอื่น ๆ แล้ว เช่น PVD, กบข., กอช., ประกันบำนาญ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
กองทุน Thai ESG สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี แต่มีเพดานสูงสุดที่ 100,000 บาท ข้อดีของกองทุนประเภทนี้คือ ผู้ลงทุนสามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมได้ โดยไม่ต้องมีเงื่อนไขการลงทุนต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การถือครองกองทุนต้องไม่น้อยกว่า 8 ปี เมื่อนับจากวันที่ซื้อ และเมื่อนำไปรวมกับการลดหย่อนในกองทุน SSF, RMF และกลุ่มลดหย่อนเกษียณอื่น ๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
ดังนั้น สิ่งแรกที่ควรทำคือการประเมินรายได้ทั้งปีของตัวเอง โดยรวมทั้งรายได้ประจำและรายได้เสริมต่าง ๆ จากนั้นให้หักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอื่น ๆ เพื่อคำนวณภาษีที่คาดว่าต้องจ่าย
นอกจากนี้ การประเมินสภาพคล่องทางการเงินก็สำคัญไม่แพ้กัน ก่อนตัดสินใจซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี เราควรมีเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน โดยพิจารณาจากภาระหนี้สินที่มีอยู่ และประเมินค่าใช้จ่ายทั้งในปัจจุบันและอนาคต เพื่อวางแผนการลงทุนระยะยาวได้อย่างมั่นคง
ข้อควรรู้ก่อนซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี :
กองทุนลดหย่อนภาษีเป็นการลงทุนระยะยาว หากขายก่อนครบกำหนด อาจต้องเสียภาษีคืนพร้อมค่าปรับ ดังนั้น เราจึงต้องวางแผนการเงินให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
เมื่อนักลงทุนสามารถตัดสินใจเลือกลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีได้แล้ว ก็สามารถซื้อกองทุนรวมผ่านแอปพลิเคชัน InnovestX เพียงดาวน์โหลดและเปิดบัญชีลงทุนฟรี! ได้ทั้งบน App Store, Google Play Store และ Huawei AppGallery และ Android สามารถลงทุนกองทุนรวมได้กว่า 2,000 กองทุน จาก 21 บลจ. พร้อมเสิร์ฟข้อมูลกองทุนให้ครบและง่าย กับ Invest Ideas ไอเดียลงทุนที่ InnovestX คัด และ เคาะกองทุนที่น่าสนใจลงทุนมาให้ครบทั้ง INVX Top Picks กองทุนแนะนำตามกลยุทธ์ลงทุน และ INVX Selection กองทุนเด่นตามประเภทกองทุนรวมมาให้ในแอป
คำเตือน
*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศโดยตรงมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
ข้อมูลอ้างอิง: