ในยุคดิจิทัลที่สินทรัพย์อย่างคริปโทเคอร์เรนซีกำลังเป็นที่จับตามองทั่วโลก การถือครอง Bitcoin โดยรัฐบาลในประเทศต่างๆ กลายเป็นประเด็นที่น่าสนใจและมีผลกระทบสำคัญต่อตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลโดยรวม ทั้งในแง่ของการสร้างเสถียรภาพและการบริหารจัดการสินทรัพย์ดิจิทัลในระดับประเทศ บทความนี้จะพาไปสำรวจว่ารัฐบาลประเทศต่างๆ ทั่วโลกถือครอง Bitcoin อยู่เท่าไหร่
นักลงทุนรายย่อยและสถาบันการเงินต่างๆ ไม่ใช่กลุ่มเดียวที่ถือ Bitcoin ไว้ในพอร์ตโฟลิโอของตัวเอง รัฐบาลทั่วโลกเองก็มีการถือครอง Bitcoin เช่นกัน ซึ่งไม่น่าแปลกใจที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ถือครอง Bitcoin รายใหญ่ที่สุด โดยมี Bitcoin ในครอบครองมากกว่า 213,297 BTC อย่างไรก็ตาม สินทรัพย์ดิจิทัลเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้มาจากการยึดหรืออายัดทรัพย์สินจากการจับกุมอาชญากรรม
ปัจจุบันรัฐบาลแต่ละประเทศถือครอง Bitcoin อยู่เท่าไหร่
จากข้อมูล ณ วันที่ 29 กรกฎาคม 2024 ข้อมูลจาก Coingecko.com ระบุว่า รัฐบาลทั่วโลกถือครอง Bitcoin รวมกันอยู่ที่ประมาณ 2.2% ของอุปทานทั้งหมดของ Bitcoin ซึ่งคิดเป็นจำนวน 471,380.6 BTC โดยมีมูลค่าประมาณ 3.27 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยรัฐบาลประเทศต่างๆ กำลังเพิ่มการถือครอง Bitcoin ไม่ว่าจะเป็นจากการยึดหรืออายัด Bitcoin จากกิจกรรมทางอาชญากรรม จากการบริจาค หรือจากกิจกรรมอื่นๆ แนวโน้มนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญและการยอมรับในสินทรัพย์ดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นในระบบการเงินโลก
1. สหรัฐอเมริกา
รัฐบาลสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ถือครอง Bitcoin รายใหญ่ที่สุด โดยถือครอง 213,297 BTC ซึ่งได้มาจากการยึดหรืออายัดทรัพย์สิน โดยมูลค่าของ Bitcoin ที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาครอบครองในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 1.48 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ Bitcoin ส่วนใหญ่นั้นได้มาจากการปิดตัวลงของเว็บไซต์ Silk Road ตลาดซื้อขายออนไลน์ที่เป็นเครือข่าย Dark Web ซึ่งมีชื่อเสียงในฐานะแพลตฟอร์มแรกๆ ที่ใช้ Bitcoin เป็นสื่อกลางในการชำระเงินสำหรับซื้อขายสินค้าหรือบริการที่ผิดกฎหมาย เช่น ยาเสพติด อาวุธ และบริการผิดกฎหมายอื่นๆ หลังจากที่ FBI ได้ทำการจับกุม Ross Ulbricht ผู้ก่อตั้ง Silk Road ในปี 2013 รัฐบาลสหรัฐอเมริกาสามารถยึด Bitcoin ได้ประมาณ 69,370 BTC จาก Wallet ของ Ulbricht กระบวนการยึดทรัพย์นี้เกิดขึ้นจากการสืบสวนโดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อติดตามธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Silk Road และในปี 2020 ศาลสหรัฐฯ ได้มีคำสั่งให้สินทรัพย์ดิจิทัลเหล่านี้เป็นของรัฐบาลอย่างเป็นทางการ
2. จีน
แม้ว่าจีนจะปราบปรามการซื้อขายและการขุดคริปโทเคอร์เรนซี แต่ก็มีการถือครอง Bitcoin จำนวนมาก โดยได้มาจากการจับกุมและยึดอายัดทรัพย์สินของผู้กระทำความผิด ทำให้รัฐบาลจีนถือครอง Bitcoin เป็นอันดับสองรองจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา จากข้อมูลล่าสุด พบว่ารัฐบาลจีนถือครอง Bitcoin ประมาณ 190,000 BTC มูลค่าประมาณ 1.32 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ Bitcoin ส่วนใหญ่ที่รัฐบาลจีนถือครองนั้นถูกยึดมาจากคดี PlusToken ซึ่งเป็นหนึ่งในกลโกงสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ PlusToken คือแชร์ลูกโซ่ (Ponzi Scheme) ที่เริ่มต้นในปี 2018 โดยอ้างว่าเป็นแพลตฟอร์มกระเป๋าเงินดิจิทัลและการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงเกินจริงถึง 30% ต่อเดือน วิธีการหลอกลวงของโครงการนี้คือการชักชวนผู้ใช้งานให้นำ Bitcoin และคริปโทเคอร์เรนซีอื่นๆ มาฝากไว้ใน Wallet ของโครงการ พร้อมทั้งเสนอผลตอบแทนเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่ชวนผู้อื่นมาลงทุน อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ไม่ได้มีการลงทุนหรือสร้างผลกำไรจริง แต่ใช้เงินจากผู้ใช้งานรายใหม่มาจ่ายให้กับผู้ใช้งานรายเก่าในลักษณะแชร์ลูกโซ่ ในปี 2019 โครงการ PlusToken ได้ปิดตัวลงหลังจากผู้ใช้งานเริ่มถอนเงินออกเป็นจำนวนมาก และการสืบสวนของรัฐบาลจีนทำให้มีการจับกุมผู้กระทำความผิดพร้อมกับยึด Bitcoin และคริปโทเคอร์เรนซีอื่นๆ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวมประมาณ 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
3. สหราชอาณาจักร
สหราชอาณาจักรมีการจับกุมและสามารถยึดอายัด Bitcoin ได้ประมาณ 61,000 BTC มูลค่าประมาณ 4.24 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการปราบปรามการฟอกเงิน ซึ่งพบ Wallet ที่เกี่ยวข้องกับการโยกย้ายคริปโทเคอร์เรนซีจำนวนมากโดยชาวต่างชาติ จากการแปลงคริปโทเคอร์เรนซีเป็นเงินสดหรือทรัพย์สิน จากการจับกุมอาชญากรรมดังกล่าวแสดงถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลสหราชอาณาจักรในการจัดการกับอาชญากรรมทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับคริปโทเคอร์เรนซี ซึ่งทำให้สหราชอาณาจักรเป็นรัฐบาลที่มีการถือครอง Bitcoin สูงสุดเป็นอันดับสามเมื่อเทียบกับรัฐบาลประเทศอื่นๆ
4. เอลซัลวาดอร์
เอลซัลวาดอร์มีความโดดเด่นเนื่องจากเป็นประเทศแรกที่ Bitcoin สามารถใช้ชำระหนี้ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย นอกจากนี้ รัฐบาลเอลซัลวาดอร์ยังมีนโยบายในการซื้อ Bitcoin อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2022 รัฐบาลได้ดำเนินโครงการ “1 Bitcoin ต่อวัน” โดยทยอยซื้อ 1 BTC ต่อวันโดยไม่คำนึงถึงมูลค่าตลาด เพื่อเก็บเป็นทรัพย์สินของประเทศและเพื่อสนับสนุนโครงการที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin แนวทางเชิงรุกนี้ทำให้เอลซัลวาดอร์อยู่ในระดับแนวหน้าของการนำ Bitcoin มาใช้ในระดับประเทศ
ด้วยเหตุนี้ เอลซัลวาดอร์จึงแตกต่างจากรัฐบาลประเทศอื่นที่การถือครองคริปโทเคอร์เรนซีส่วนใหญ่ มีที่มาจากการยึดอายัดทรัพย์สินจากการจับกุมอาชญากรรม โดยขณะนี้ ประเทศเอลซัลวาดอร์มี Bitcoin ในครอบครองประมาณ 5,800 BTC คิดเป็นมูลค่าประมาณ 0.40 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
5. ยูเครน
ในทางกลับกัน ยูเครนได้รับ Bitcoin ส่วนใหญ่ผ่านการบริจาคเพื่อช่วยเหลือในสงครามกับรัสเซีย ในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 รัฐบาลได้มีการโพสต์ Wallet address ไว้ที่แพลตฟอร์ม “X” เพื่อขอรับบริจาคการสนับสนุน จนถึงปัจจุบัน Wallet address ดังกล่าวได้รับ Bitcoin จำนวน 651.3 BTC (มูลค่าประมาณ 45.23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) นอกจากนี้ มูลนิธิ "Come Back Alive" ในยูเครนยังได้จัดตั้ง Wallet ที่ใช้สำหรับการรับเงินบริจาคเพื่อสนับสนุนกองทัพ มูลนิธินี้ได้รับบริจาค Bitcoin ทั้งหมด 685.1 BTC (มูลค่าประมาณ 47.58 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) แม้ว่า Bitcoin ที่ยูเครนได้รับการบริจาคเหล่านี้มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 1,336.4 BTC แต่ยอดคงเหลือในปัจจุบันอยู่ที่ 186.18 BTC (หรือมูลค่าประมาณ 12.93 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เนื่องจากถูกใช้เป็นเงินทุนอย่างต่อเนื่องในการทำสงครามปกป้องประเทศ
6. เยอรมนี
เยอรมนีได้บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคริปโทเคอร์เรนซีเชิงรุก ซึ่งนำไปสู่การยึดหรืออายัด Bitcoin จำนวน 46,359 BTC มูลค่าประมาณ 3.02 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ การยึด Bitcoin ครั้งนี้เป็นผลมาจากการดำเนินการทางกฎหมายกับเว็บไซต์ที่ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์เมื่อปี 2013 ซึ่งรายได้จากเว็บไซต์ละเมิดลิขสิทธิ์เหล่านี้มักถูกแปลงเป็น Bitcoin ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลของรัฐบาลเยอรมนี
กรณีศึกษา ผลกระทบการขาย Bitcoin ของรัฐบาลเยอรมัน
การทำธุรกรรมซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีของรัฐบาลที่มีสัดส่วนการถือครองคริปโทเคอร์เรนซี่จำนวนมาก สามารถก่อให้เกิดผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อราคาตลาดของคริปโทเคอร์เรนซี่ได้ จากกรณีศึกษาล่าสุดคือ กรณีที่รัฐบาลเยอรมันจำหน่าย Bitcoin ทั้งหมดที่ถือครองอยู่เป็นจำนวน 46,359 BTC ระหว่างวันที่ 19 มิถุนายน ถึง 12 กรกฎาคม 2024 จากการขาย Bitcoin ออกดังกล่าว ส่งผลทำให้ราคาตลาดของ Bitcoin ปรับตัวลดลง 15.7% จาก 64,547.32 ดอลลาร์สหรัฐ เหลือเพียง 54,418.46 ดอลลาร์สหรัฐ
การเติบโตของคริปโทเคอร์เรนซีทำให้รัฐบาลหลายประเทศเริ่มออกกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้น เพื่อแก้ปัญหากลโกงสินทรัพย์ดิจิทัลและพยายามสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับนักลงทุน ในขณะเดียวกัน บางประเทศยังใช้โอกาสนี้ลงทุนใน Bitcoin เพื่อเป็นกลยุทธ์ในการกระจายเงินสำรองของประเทศและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางการเงินยุคดิจิทัล ทั้งการยึดอายัดสินทรัพย์ดิจิทัลไปจนถึงการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล แสดงให้เห็นว่าสินทรัพย์ดิจิทัลมีผลกระทบสำคัญต่อเศรษฐกิจและอนาคตของระบบการเงินโลก
อย่างไรก็ตาม การถือครอง Bitcoin โดยรัฐบาลประเทศต่างๆ ทั่วโลกสะท้อนถึงความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ดิจิทัลในระบบการเงินยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการยึดอายัดสินทรัพย์ดิจิทัลจากการจับกุมอาชญากรรม การสะสมสินทรัพย์ดิจิทัลในฐานะทุนสำรองของประเทศ นักลงทุนจึงควรติดตามธุรกรรมเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลของรัฐบาลประเทศต่างๆ เนื่องจากการดำเนินการต่างๆ ของรัฐบาล เช่น การขายหรือการสะสม Bitcoin ในปริมาณมาก อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อราคาตลาดและก่อให้เกิดความผันผวนในระยะสั้น
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
คำเตือน: คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้