นักลงทุนชั้นนำระดับโลกกับการลงทุนหลากหลายสไตล์
Warren Buffett เป็นประธานและซีอีโอของ Berkshire Hathaway บริษัทโฮลดิ้งที่มีชื่อเสียงในด้านการลงทุนระยะยาว โดยเน้นกลยุทธ์ Value Investing ซึ่งมุ่งเน้นการลงทุนในบริษัทที่มีมูลค่าต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานและมีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว กลยุทธ์ของ Buffett ได้รับแรงบันดาลใจจาก Benjamin Graham ผู้บุกเบิกแนวคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่า โดย Buffett ให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ธุรกิจในเชิงลึก มองหาองค์กรที่มีโมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่ง ได้เปรียบทางการแข่งขัน และทีมผู้บริหารที่มีประสิทธิภาพ Berkshire Hathaway มักถือครองหุ้นในบริษัทต่างๆ เป็นเวลานาน เช่น Coca-Cola, Apple, และ American Express โดยมองว่าการลงทุนในบริษัทที่มีพื้นฐานดีจะสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนมากกว่าการเก็งกำไรระยะสั้น แม้กลยุทธ์ของ Buffett จะเน้นความอดทนและการมองระยะยาว แต่เขาก็มีความยืดหยุ่นในการปรับพอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดและโอกาสที่เหมาะสม ซึ่งสะท้อนถึงแนวทางการลงทุนที่มีวินัยและมองภาพใหญ่ในระยะยาวเป็นหลัก
Michael Burry ผู้ก่อตั้งและผู้จัดการกองทุน Scion Asset Management เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางจากการคาดการณ์วิกฤตซับไพรม์ในปี 2008 ซึ่งถูกถ่ายทอดผ่านภาพยนตร์เรื่อง The Big Short สไตล์การลงทุนของ Burry เน้นไปที่ Contrarian Investing หรือการลงทุนสวนทางกับตลาด โดยมุ่งหาโอกาสในสินทรัพย์ที่ถูกมองข้ามหรือมีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง Burry ให้ความสำคัญกับ Value Investing เช่นเดียวกับ Warren Buffett แต่มีแนวโน้มที่จะลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงและมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่น แม้ว่า Burry จะเป็นที่รู้จักจากการเก็งกำไรในตลาดตราสารหนี้และการซื้อสัญญา Credit Default Swaps (CDS) ในช่วงวิกฤตซับไพรม์ แต่ในปัจจุบัน Scion Asset Management ของเขามีการลงทุนในหุ้นรายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นไปที่บริษัทที่มีมูลค่าต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน และมีศักยภาพในการฟื้นตัวในระยะยาว อย่างไรก็ตาม Burry ยังมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงพอร์ตการลงทุนอย่างรวดเร็ว โดยอาจเข้าซื้อและขายหุ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ตามสภาวะตลาดและมุมมองเศรษฐกิจ นอกจากนี้ เขายังมีชื่อเสียงในการใช้ Put Options เพื่อเก็งกำไรจากการปรับตัวลงของตลาดหรือหุ้นบางตัว กลยุทธ์ของ Burry มักจะผสมผสานการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเข้ากับการคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจมหภาค ซึ่งทำให้เขาสามารถสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นในช่วงเวลาที่ตลาดมีความไม่แน่นอนและผันผวน
Jim Simons เป็นผู้ก่อตั้ง Renaissance Technologies บริษัทกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่มีชื่อเสียงในด้านการใช้ Quantitative Analysis และ Algorithmic Trading เพื่อค้นหารูปแบบและแนวโน้มในตลาดการเงิน โดยอาศัยแบบจำลองทางคณิตศาสตร์และสถิติที่พัฒนาขึ้นจากข้อมูลต่างๆจำนวนมาก Renaissance Technologies มุ่งเน้นการใช้ข้อมูลเชิงลึกและเทคโนโลยีขั้นสูงในการตัดสินใจลงทุน โดยให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ปัจจัยเชิงปริมาณมากกว่าปัจจัยพื้นฐานหรือการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจแบบดั้งเดิม กลยุทธ์การลงทุนส่วนใหญ่เป็นการซื้อขายระยะสั้นและอาศัยความแม่นยำของโมเดลในการคาดการณ์ความเคลื่อนไหวของราคา แม้จะมีความซับซ้อนและมีต้นทุนในการดำเนินงานสูง แต่แนวทางนี้ทำให้บริษัทสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม รายละเอียดเกี่ยวกับโมเดลและกลยุทธ์ของบริษัทมักถูกเก็บเป็นความลับ ซึ่งทำให้ Renaissance Technologies ยังคงเป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับความสนใจในแวดวงการเงินอย่างต่อเนื่อง
Cathie Wood เป็นผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ ARK Investment Management บริษัทบริหารสินทรัพย์ที่มีชื่อเสียงในด้านการลงทุนที่เน้น Thematic Investing โดยมุ่งเน้นการลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพในการสร้าง Disruptive Innovation หรือการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในอุตสาหกรรม ARK Investment ใช้แนวทางวิเคราะห์เชิงลึกโดยเน้นการลงทุนในบริษัทที่มีโอกาสเติบโตสูงจากการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), ยานยนต์ไร้คนขับ, เทคโนโลยีชีวภาพ, พลังงานสะอาด และบล็อกเชน แม้ว่ากลยุทธ์การลงทุนของ ARK จะมุ่งเป้าไปที่การเติบโตในระยะยาว แต่ลักษณะของการลงทุนในนวัตกรรมเหล่านี้ทำให้พอร์ตมีความผันผวนสูง Cathie Wood ให้ความสำคัญกับ การวิจัยและวิเคราะห์แนวโน้มของเทคโนโลยีในอนาคต เพื่อระบุบริษัทที่มีศักยภาพในการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ARK Investment มีการบริหารพอร์ตการลงทุนแบบ Active โดยปรับน้ำหนักของหุ้นให้สอดคล้องกับแนวโน้มและโอกาสในตลาด แม้ว่ากลยุทธ์ของ ARK จะมีความเสี่ยงสูงและผลตอบแทนอาจผันผวน แต่การเน้นลงทุนในนวัตกรรมที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงโลก ทำให้ ARK Investment ยังคงเป็นที่จับตามองในแวดวงการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
Ray Dalio เป็นผู้ก่อตั้งและอดีตซีอีโอของ Bridgewater Associates กองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Global Macro ซึ่งวิเคราะห์และคาดการณ์การเคลื่อนไหวของตลาดการเงินทั่วโลกโดยพิจารณาปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาค (Macroeconomic Factors) เช่น นโยบายการเงิน อัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ และการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ Dalio เป็นที่รู้จักจาก Principles หรือ หลักการ ในการบริหารองค์กรและการลงทุน โดยเน้นการใช้ข้อมูลและแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์เพื่อทำความเข้าใจวัฏจักรเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ กลยุทธ์สำคัญของ Bridgewater คือ All Weather Portfolio ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้พอร์ตมีความสมดุลและสามารถรับมือกับสภาวะตลาดที่หลากหลาย โดยกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เช่น หุ้น พันธบัตร สินค้าโภคภัณฑ์ และสกุลเงิน Dalio มองว่าการทำความเข้าใจวัฏจักรเศรษฐกิจและการบริหารความเสี่ยงอย่างมีระบบเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนในระยะยาว แม้กลยุทธ์ของ Bridgewater จะมีความซับซ้อนและอาศัยการวิเคราะห์เชิงลึก แต่ก็ช่วยให้กองทุนสามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจและรักษาเสถียรภาพของพอร์ตในสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดย Bridgewater ใช้การลงทุนในหุ้นเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ เพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาว หุ้นที่ Bridgewater ถือครองส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีความมั่นคงและมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจโลก โดยมักเน้นไปที่หุ้นในดัชนี S&P 500 หรือหุ้นขนาดใหญ่ระดับโลก แม้ว่าการถือครองหุ้นจะไม่ใช่กลยุทธ์หลักของ Bridgewater แต่การลงทุนในหุ้นรายตัวเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยให้พอร์ตของบริษัทมีความสมดุล และสามารถสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอในสภาวะตลาดที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ Bridgewater ยังมีการปรับพอร์ตการลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจและตลาดโลก โดยข้อมูลการถือครองหุ้นจะปรากฏใน Form 13F ที่ยื่นต่อ SEC เป็นประจำทุกไตรมาส ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Dalio ให้ความสำคัญกับการกระจายความเสี่ยงผ่านการลงทุนในหุ้นควบคู่ไปกับสินทรัพย์อื่น ๆ อย่างชัดเจน
หมายเหตุ: การใช้ข้อมูลจาก Form 13F ถูกยื่นต่อ SEC ทุกไตรมาส ภายในเวลา 45 วัน หลังสิ้นสุดไตรมาสในการยื่นข้อมูล ซึ่งหมายความว่าข้อมูลใน 13F มักล่าช้ากว่าความเป็นจริง ทำให้ข้อมูลการลงทุนอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ณ เวลาที่ข้อมูลเผยแพร่ การใช้ข้อมูลจาก 13F ควรใช้เป็น ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ เพื่อทำความเข้าใจแนวโน้มการลงทุนและกลยุทธ์ของผู้ลงทุนขนาดใหญ่ แต่ไม่ควรใช้เป็นสัญญาณในการตัดสินใจลงทุนโดยตรง ควรพิจารณาปัจจัยพื้นฐานและแนวโน้มเศรษฐกิจควบคู่ไปด้วยเสมอ
ข้อมูลนี้ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุน เป็นเพียงการให้ข้อมูล ผู้ลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจ เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน