Keyword
PDF Available  
เคาะซื้อ Weekly strategy

เคาะซื้อ Weekly Strategy: เทคยักษ์จีนแกร่งไม่หยุด เคาะซื้อผ่าน KFCHINA-T10PLUS-A (29 September – 3 October 2025)

By ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ|26 Sep 25 1:00 PM
สรุปสาระสำคัญ
สรุปคำแนะนำการลงทุนประจำวันที่ 29 กันยายน - 3 ตุลาคม 2025
 
มุมมองรายสินทรัพย์ประจำสัปดาห์

ตราสารทุน

สัปดาห์หน้า คาดตลาดหุ้นสหรัฐฯ เคลื่อนไหวในกรอบ (sideways) ท่ามกลางความกังวลต่อการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด ทำให้นักลงทุนมีแนวโน้มระมัดระวังมากขึ้นในระยะสั้น และ Valuation ที่อยู่ในระดับสูงทำให้ Upside ค่อนข้างจำกัด นักลงทุนจึงอาจพิจารณาธีม Catch-up Play ผ่าน S&P 500 Equal Weight ในขณะที่หุ้นยุโรปยังน่าสนใจจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวหนุนการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในอนาคต ฝั่งตลาดเกิดใหม่ (EM) ได้รับประโยชน์จากการไหลเข้าของเงินทุน หลังเฟดลดดอกเบี้ย เรายังคงชื่นชอบต่อหุ้นไทยจากความคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ และหุ้นเทคโนโลยีจีนมีแนวโน้มได้รับประโยชน์จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้น

ตราสารหนี้

เรามีมุมมองที่ระมัดระวังสำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ แม้เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ก.ย. นี้ แต่มีการปรับคาดการณ์เงินเฟ้อสหรัฐฯขึ้นพร้อมกับเศรษฐกิจที่ยังคงขยายตัว ปัจจัยเหล่านี้ยังคงกดดันให้อัตราผลตอบแทน (Bond Yield) ของตราสารหนี้อายุยาวปรับตัวลดลงได้อย่างจำกัด ทั้งนี้อาจต้องติดตามความคืบหน้าของการใช้ Third Mandate อาจส่งผลบวกต่อ Bond Yield ตราสารหนี้ระยะยาวได้ โดยภาวะในปัจจุบันเราประเมินตราสารหนี้ระยะกลางที่มีอายุเป็น 3-5 ปี เป็นช่วงอายุที่มีความเหมาะสมที่สุด

 สินทรัพย์ทางเลือก

ทองคำกำลังเดินหน้าสู่ราคาเป้าหมายที่ $3,875 ที่เราประเมินไว้ หลังราคาปรับตัวทะลุแนวแนวต้านระดับ $3,700 ได้สำเร็จ ทั้งนี้ ระยะสั้นราคาอาจมีการแกว่งตัวออกข้างหรือย่อตัว จากที่ราคาปรับตัวขึ้นมาเร็ว และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมาแข็งค่าขึ้นในช่วงสั้น
ด้าน REITs ไทยมีแนวโน้มได้รับปัจจัยบวกจากการใช้นโยบายการเงินของ ธปท. ที่ผ่อนคลายเป็นปัจจัยหนุนที่ทำให้ REITs ไทยที่ยังคง Laggard เมื่อเทียบกับ SET Index มีความน่าสนใจ และดึงดูดเม็ดเงินของนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างกระแสเงินสดได้

[Theme Play] 
 
China Technology: หลังการปรากฏตัวของแจ็ค หม่า เป็นสัญญาณช่วยหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อหุ้นเทคโนโลยีจีนมากขึ้น ในขณะที่รัฐบาลจีนยังคงมีนโยบายสนับสนุนบริษัทเอกชนและเป็นมิตรกับบริษัทเทคโนโลยีจีน ประกอบกับการลงทุนด้าน AI ของบริษัทเทคโนโลยีจีนยังคงขยายตัว หนุนบริษัทในห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้อง ด้าน Valuation ของกลุ่มเทคโนโลยีจีนยังคงใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยราว 24 เท่า แต่ EPS Growth มีแนวโน้มกลับมาเติบโตได้ดีกว่าใน 1-2 ปีข้างหน้า ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นจึงมีโอกาสให้หุ้นเทคโนโลยีของจีนสามารถซื้อขายบน PE ที่สูงกว่าได้

Europe Equity:
เศรษฐกิจของยุโรปที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากการใช้นโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนภายในภูมิภาค มีคาดว่าจะหนุนกำไรของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี STOXX 600 ให้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2026 และคาดการณ์ว่าจะยังคงเติบโตต่อเนื่องในปี 2027 โดยคาดการณ์ CAGR ของ EPS ระหว่างปี 2025-2027 ของ STOXX 600 อยู่ที่ระดับราว 10.14% ใกล้เคียงกับ S&P500 ที่ระดับ 11.68% ในขณะที่ Forward PE ของ STOXX600 อยู่ที่ระดับราว 14.5 เท่า ต่ำกว่า S&P500 ที่ 22.6 เท่า อย่างมีนัยสำคัญ มีแนวโน้มให้ตลาดหุ้นยุโรปมีความน่าสนใจเพิ่มขึ้นจากระดับ Valuation ที่ยังต่ำและกำไรบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น

Gold:
ราคาทองคำได้รับแรงหนุนจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มอ่อนค่า และเฟดกลับเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงอีกครั้ง โดยการปรับลดดอกเบี้ยลงจะช่วยเพิ่มอุปสงค์ต่อ ETF ทองคำ ซึ่งจะเป็นอีกปัจจัยบวกเพิ่มเติมต่อราคาทองคำ ขณะเดียวกัน หนี้สาธารณะทั่วโลกที่อยู่ในระดับสูงเพิ่มความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงิน กระแส De-dollarization ที่เร่งตัว และการเข้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องจากธนาคารกลางทั่วโลก ล้วนเป็นแรงสนับสนุนเชิงโครงสร้างต่อราคาทองคำ ในเชิงเทคนิค ราคาทองคำปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่และเบรคทะลุกรอบสะสม ทำให้เราประเมินว่าโมเมนตัมของราคาทองคำในระยะสั้นค่อนข้างแข็งแกร่ง

China A-Shares:
หุ้นจีน A-Shares ยังเคลื่อนไหวในทิศทางขาขึ้น แม้ระยะสั้นพักตัวอยู่บริเวณแนวต้านสำคัญที่ 4,500 จุด แต่ยังมีปัจจัยบวกสนับสนุนหลายด้าน ทั้งสภาพคล่องในระบบที่เพิ่มขึ้น การโยกย้ายเงินลงทุนของครัวเรือนเข้าสู่ตลาดหุ้น และนโยบายจากภาครัฐที่เดินหน้ากระตุ้นตลาดทุนอย่างจริงจัง ขณะเดียวกัน Valuation อยู่ในระดับไม่ตึงตัวมาก กำไรของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และนักลงทุนยังจับตาการประชุม 4th Plenum ของคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนในเดือนตุลาคม ซึ่งอาจนำไปสู่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม

 
[Event Play]
 
TH Equity: ดัชนี SET Well-Being (SETWB) มีความน่าสนใจในระยะสั้น หลังจากได้รัฐบาลชุดใหม่ และความหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงการ “คนละครึ่ง” และการส่งเสริมการท่องเที่ยวปลายปี ซึ่งหนุนโดยตรงต่อหุ้นกลุ่มบริโภคและท่องเที่ยวที่มีสัดส่วนสูงถึง 59% ของดัชนี ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานยังเอื้ออำนวย โดย SETWB ซื้อขายที่ P/E 12.7x ต่ำกว่า SET (16.1x) และภาพรวมประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยปี 2025 และ 2026 ทรงตัวไม่ถูกปรับลดลง สะท้อนความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มผลประกอบการที่มีมากขึ้น อีกทั้ง Fund Flow ต่างชาติมีโอกาสไหลกลับเข้าไทยจากดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าและทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ลดลง ล่าสุด นายกรัฐมนตรีหารือกับ FETCO พร้อมยืนยันสนับสนุนตลาดทุน เพิ่มสภาพคล่อง–เสริมความเชื่อมั่น และพัฒนาเครื่องยนต์เศรษฐกิจยุคใหม่ให้กับตลาดทุน หนุนมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย ด้านเทคนิค ดัชนีSETWB ทะลุเส้น Downtrend และแกว่งในกรอบขาขึ้นในระยะสั้น มองเป้าหมายที่ 658 จุด และมีจุด Stop loss ที่ 578 จุด
 
TH REITs : REITs ไทยได้ปัจจัยสนับสนุนจากวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงของเฟด และจากแรงหนุนที่ ธปท. ส่งสัญญาณเข้าสู่วัฏจักรปรับลดดอกเบี้ยอีกครั้ง หลังเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะเงินฝืด โดยเงินเฟ้อต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย  อีกทั้ง REITs ไทยมีส่วนต่างปันผลกับพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี (Dividend Yield Spread) พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 7.32% และอัตราปันผลเฉลี่ย 8.79% สูงกว่า REITs ภูมิภาคอื่นๆ เราประเมินว่าปัจจัยหนุนต่างๆ ที่กล่าวมาจะเอื้อต่อภาวการณ์ลงทุน REITs ไทย อีกทั้ง Sentiment ตลาดหุ้นไทยที่ดูดีขึ้น เป็นอีกแรงหนุนต่อ REITs ไทย

Global Healthcare: Berkshire Hathaway ของ Warren Buffett เข้าซื้อหุ้น UnitedHealth Group ในไตรมาส 2/2025 แม้บริษัทยังเผชิญความท้าทายด้านต้นทุนการแพทย์สูงและผลประกอบการต่ำกว่าคาด แต่การเข้าซื้อดังกล่าวช่วยหนุน Sentiment ต่อหุ้นกลุ่ม Healthcare โดยรวมและเป็นแรงผลักดันสำคัญ ขณะเดียวกัน Valuation ของกลุ่มยังอยู่ในระดับน่าสนใจหลังจากราคาปรับฐานลงมา อีกทั้ง ยังมีโอกาสได้รับแรงหนุนจากกระแสการสลับกลุ่มลงทุน (sector rotation) โดยเฉพาะเมื่อดัชนี S&P 500 เข้าสู่ระดับ Valuation ที่ตึงตัว แม้ล่าสุด ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้ายา 100% มีผล 1 ต.ค. ซึ่งอาจกดดันหุ้น Healthcare ระยะสั้น แต่เราประเมินว่าตลาดรับรู้และราคา priced in ไปมากแล้ว ทำให้ downside ต่อจากนี้จำกัด โดย Valuation ปัจจุบันถือว่าอยู่ในโซนถูกมาก
Author
DR RHATSARUN TANAPAISANKIT
ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ

Head of Investment Strategy & Trading Product Specialist

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5