สรุปสาระสำคัญ
สรุปคำแนะนำการลงทุนประจำวันที่ 15 - 19 กันยายน 2025
มุมมองรายสินทรัพย์ประจำสัปดาห์
ตราสารทุน
ตลาดหุ้นตอบรับความคาดหวังเฟดลดดอกเบี้ยไปมากแล้ว การประชุม FOMC รอบนี้อาจเห็นแรงขายทำกำไร (Sell on fact) แนะนำรอจังหวะเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัว เราประเมินว่าตลาดหุ้นไทยมีแรงหนุนจากการเมืองชัดเจนขึ้นและความหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ สามารถเข้าสะสมสำหรับการลงทุนในระยะสั้น ด้านหุ้นจีน A-Shares ยังสามารถทยอยสะสมสำหรับภาพระยะกลาง-ยาว ฝั่งตลาดหุ้น DM มองหุ้นยุโรปยังน่าสนใจจากมูลค่าที่ไม่ตึงตัว โดยคาดการณ์การเติบโตของกำไรต่อหุ้นที่มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็นปัจจัยหนุนการลงทุนหุ้นยุโรปในระยะข้างหน้า
ตราสารหนี้
เรามีมุมมองที่ระมัดระวังสำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ แม้คาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ก.ย. นี้ แต่เงินเฟ้อสหรัฐฯที่อยู่ในระดับสูง ความกังวลฐานะทางการคลังสหรัฐฯ และความไม่เป็นอิสระของเฟด ปัจจัยเหล่านี้ยังคงกดดันให้อัตราผลตอบแทน (Bond Yield) ของตราสารหนี้อายุยาวปรับตัวลดลงได้อย่างจำกัด ขณะที่ Bond Yield ของตราสารหนี้ระยะสั้นจะปรับตัวลดลงจากอิทธิพลดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสี่ยงการลงทุนต่อ (Reinvestment risk) ภาวะในปัจจุบันเราประเมินตราสารหนี้ระยะกลางที่มีอายุเป็น 3-5 ปี เป็นช่วงอายุที่มีความเหมาะสมที่สุด
สินทรัพย์ทางเลือก
ทองคำยังคงเดินหน้าสร้างจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง หลังทะลุกรอบสะสมที่ยืดเยื้อนานกว่า 4 เดือน แม้ระยะสั้นอาจเห็นการแกว่งตัวในกรอบจำกัดหลังราคาปรับขึ้นแรง แต่เรายังคงแนะนำการลงทุนในทองคำ โดยมองว่าสภาวะการลงทุนยังเอื้ออำนวย พร้อมคงเป้าหมายราคาที่ 3,875 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในช่วง 6–12 เดือนข้างหน้า
ด้าน REITs ไทยมีแนวโน้มได้รับปัจจัยบวกจากการใช้นโยบายการเงินของ ธปท. ที่ผ่อนคลายเป็นปัจจัยหนุนที่ทำให้ REITs ไทยที่ยังคง Laggard เมื่อเทียบกับ SET Index มีความน่าสนใจ และดึงดูดเม็ดเงินของนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างกระแสเงินสดได้
[Theme Play]
Europe Equity: ความไม่แน่นอนทางการเมืองของฝรั่งเศสยังคงสร้างความผันผวนให้กับตลาดในระยะสั้น ล่าสุดประธานาธิบดี Emmanuel Macron ได้เลือก Sébastien Lecornu ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และเร่งเจรจากับพรรคการเมืองต่างๆเพื่อหาเสียงสนับสนุน หากสามารถทำสำเร็จได้และผ่านร่างงบประมาณได้จะช่วยคลี่คลายความไม่แน่นอนทางการเมืองของฝรั่งเศส นอกจากนี้เศรษฐกิจของยุโรปที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากการใช้นโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนภายในภูมิภาค และกำไรของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี STOXX 600 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2026 เป็นปัจจัยหนุนที่ทำให้หุ้นยุโรปยังคงมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ดีในระยะกลาง-ยาว
Gold: ราคาทองคำยังได้รับแรงหนุนจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มอ่อนค่า และความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยลงจะช่วยเพิ่มอุปสงค์ต่อ ETF ทองคำ ซึ่งจะเป็นอีกปัจจัยบวกเพิ่มเติม ขณะเดียวกัน หนี้สาธารณะทั่วโลกที่อยู่ในระดับสูงเพิ่มความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงิน กระแส De-dollarization ที่เร่งตัว และการเข้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องจากธนาคารกลางทั่วโลก ล้วนเป็นแรงสนับสนุนเชิงโครงสร้างต่อราคาทองคำ ในเชิงเทคนิค ราคาทองคำปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่และเบรคทะลุกรอบสะสม ทำให้เราประเมินว่าโมเมนตัมของราคาทองคำในระยะสั้นค่อนข้างแข็งแกร่ง
China A-Shares: หุ้นจีน A-Share ยังเคลื่อนไหวในทิศทางขาขึ้น แม้ระยะสั้นพักตัวอยู่บริเวณแนวต้านสำคัญที่ 4,500 จุด แต่ยังมีปัจจัยบวกสนับสนุนหลายด้าน ทั้งสภาพคล่องในระบบที่เพิ่มขึ้น การโยกย้ายเงินลงทุนของครัวเรือนเข้าสู่ตลาดหุ้น และนโยบายจากภาครัฐที่เดินหน้ากระตุ้นตลาดทุนอย่างจริงจัง ขณะเดียวกัน Valuation อยู่ในระดับไม่ตึงตัวมาก กำไรของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และนักลงทุนยังจับตาการประชุม 4th Plenum ของคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนในเดือนตุลาคม ซึ่งอาจนำไปสู่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
[Event Play]
TH Equity: ดัชนี SET Well-Being (SETWB) มีความน่าสนใจในระยะสั้น จากภาพการเมืองที่ชัดเจนขึ้นหลังการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ และความหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงการ “คนละครึ่ง” และการส่งเสริมการท่องเที่ยวปลายปี ซึ่งหนุนโดยตรงต่อหุ้นกลุ่มบริโภคและท่องเที่ยวที่มีสัดส่วนสูงถึง 59% ของดัชนี ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานยังเอื้ออำนวย โดย SETWB ซื้อขายที่ P/E 12.7x ต่ำกว่า SET (16.1x) และภาพรวมประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยปี 2025 และ 2026 ทรงตัวไม่ถูกปรับลดลง สะท้อนความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มผลประกอบการที่มีมากขึ้น อีกทั้ง Fund Flow ต่างชาติมีโอกาสไหลกลับเข้าไทยจากดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าและทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่อาจลดลง ด้านเทคนิค ดัชนีSETWB ทะลุเส้น Downtrend และ 50-SMA พร้อมแกว่งในกรอบขาขึ้น มองเป้าหมายที่ 658 จุด และมีจุด Stop loss ที่ 578 จุด โดยกองทุนแนะนำคือ กองทุน TISCOWB-A
TH REITs : REITs ไทยมีโอกาสปรับตัวขึ้นจากแรงหนุนที่ ธปท. ส่งสัญญาณเข้าสู่วัฏจักรปรับลดดอกเบี้ยอีกครั้ง หลังเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะเงินฝืด โดยเงินเฟ้อต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย อีกทั้ง REITs ไทยมีส่วนต่างปันผลกับพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี (Dividend Yield Spread) พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 7.32% และอัตราปันผลเฉลี่ย 8.79% สูงกว่า REITs ภูมิภาคอื่นๆ เราประเมินว่าปัจจัยหนุนต่างๆ ที่กล่าวมาจะเอื้อต่อภาวการณ์ลงทุน REITs ไทย อีกทั้ง Sentiment ตลาดหุ้นไทยที่ดูดีขึ้น เป็นอีกแรงหนุนต่อ REITs ไทย
Global Healthcare: หุ้น Global Healthcare ส่งสัญญาณกลับตัวสู่ขาขึ้น หลังเบรค Downtrend line และเส้น 200 SMA รวมถึงกรอบสะสมในรอบ 4 เดือน ขณะเดียวกัน Valuation ยังอยู่ในระดับน่าสนใจเมื่อเทียบทั้งค่าเฉลี่ยระยะยาวและตลาดโลก อีกทั้งกำไรปี 2025 คาดโตเด่น +15.4% เทียบกับ MSCI World ที่ +9.2% ประกอบกับมีแรงหนุนจากการเข้าลงทุนของ Berkshire Hathaway ใน UnitedHealth Group ทำให้มองว่ากลุ่ม Healthcare มีความน่าสนใจในการเข้าลงทุน ทั้งเชิงปัจจัยพื้นฐานและโอกาสที่ตลาดจะเกิดการ Rotation เข้าสู่หุ้นที่ราคายัง Laggard และ Valuation ถูก