ถ้าเป้าหมายการลงทุนคือผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาดหุ้นหลักของโลกอย่างสหรัฐอเมริกา การมองหาตลาดเกิดใหม่ที่มีศักยภาพในการเติบโตระยะยาวถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่นักลงทุนทั่วโลกนิยมใช้ และ "อินเดีย" คือหนึ่งในประเทศที่กำลังฉายแสงเป็น “เสือเศรษฐกิจตัวใหม่” อย่างชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ บนแผนที่เศรษฐกิจโลก ภายใต้การขับเคลื่อนด้วยโครงสร้างประชากรวัยทำงานขนาดใหญ่ การปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และการผลักดันเทคโนโลยีระดับชาติ การลงทุนใน “กองทุนหุ้นอินเดีย”จึงไม่ใช่แค่ทางเลือกรองอีกต่อไป แต่กลายเป็นเป้าหมายหลักสำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสระยะยาวอย่างแท้จริง
หากย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อน อินเดียอาจถูกมองว่าเป็น “ประเทศด้อยพัฒนา” ที่มีอุปสรรคด้านระบบราชการ ความเหลื่อมล้ำ และโครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่ทันสมัยพอจะรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจ แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลอินเดียได้เดินหน้าปฏิรูปครั้งใหญ่ โดยเฉพาะการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ
ทั้งโครงการทางหลวงที่เชื่อมโยงเมืองหลักเข้าด้วยกัน การพัฒนารถไฟความเร็วสูง ไปจนถึงโครงการ Digital India ที่มีเป้าหมายสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2025-26 ที่ถือเป็นหนึ่งในนโยบาย “พลิกประเทศ”ที่สำคัญที่สุด ด้วยจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้นกว่า 950 ล้านคนและผู้ใช้สมาร์ตโฟนมากกว่า 650 ล้านคน โดยอินเดียกำลังสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่ครอบคลุมตั้งแต่การชำระเงินไร้เงินสดไปจนถึงการให้บริการจากทางภาครัฐผ่านแพลตฟอร์มเดียว
เรียกได้ว่านโยบายเหล่านี้ล้วนเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ทำให้อินเดียก้าวสู่ยุคใหม่ทางเศรษฐกิจ โดยที่ประชากรส่วนใหญ่เริ่มสามารถเข้าถึงบริการทางการเงิน อีคอมเมิร์ซ และข้อมูลข่าวสารได้อย่างเท่าเทียมยิ่งขึ้น
ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อินเดียเลือกเดินเกมเชิงรุกด้วยนโยบายเศรษฐกิจแบบเปิดเสรีมากขึ้น หนึ่งในนโยบายสำคัญคือ “Make in India” ที่มุ่งเน้นการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และขยายขีดความสามารถในการผลิตภายในประเทศ
นอกจากนั้น รัฐบาลอินเดียยังผ่อนคลายกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อให้การเริ่มต้นธุรกิจและการลงทุนง่ายขึ้น ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ก็เข้ามามีบทบาทในการดูแลเสถียรภาพทางการเงิน ผ่านการควบคุมอัตราดอกเบี้ยและนโยบายสภาพคล่องที่สมดุล ความสอดคล้องระหว่างนโยบายการคลังและนโยบายการเงินนี้ ทำให้อินเดียกลายเป็นเป้าหมายของเม็ดเงินลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะในตลาดหุ้นที่มีความหลากหลายของอุตสาหกรรมและบริษัทจดทะเบียนที่มีศักยภาพสูง
ความสำเร็จของนโยบายเหล่านี้สะท้อนผ่านตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดยในช่วงสามปีที่ผ่านมา อินเดียมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 7.2% และมีแนวโน้มที่จะคงอัตรานี้ไว้ได้ในระยะยาว ส่งผลให้ GDP ของอินเดียอาจเพิ่มขึ้นจาก 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบันเป็นมากกว่า 6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030
ถึงแม้ตลาดหุ้นอินเดียจะมีศักยภาพในการเติบโตสูง แต่การลงทุนในหุ้นรายตัวจำเป็นต้องติดตามข่าวสารของบริษัท การเมือง และเศรษฐกิจอย่างเจาะลึก แต่ก็เป็นเรื่องยากสำหรับนักลงทุนไทยที่ไม่คุ้นเคยกับภาษาและบริบทของอินเดีย ด้วยเหตุนี้ การเลือกลงทุนผ่าน “กองทุนหุ้นอินเดีย” จึงเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์และสอดคล้องกับพฤติกรรมการลงทุนระยะยาวมากกว่า เพราะสามารถมั่นใจได้ว่าจะมีผู้จัดการกองทุนที่เชี่ยวชาญมาคัดเลือกและปรับพอร์ตอย่างเหมาะสมแทนคุณ
สำหรับนักลงทุนที่ถือครองกองทุนหุ้นไทยหรือสหรัฐอยู่แล้ว การเพิ่มกองทุนหุ้นอินเดียเข้าไปในพอร์ตถือเป็นการกระจายความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจของอินเดียไม่ได้เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับตลาดหลักอื่น ๆ เสมอไป
อินเดียเป็นประเทศที่มี “ประชากรในวัยแรงงาน” มากที่สุดในโลก และยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้มีฐานผู้บริโภคและกำลังผลิตในประเทศที่แข็งแกร่ง การบริโภคภายในประเทศยังมีแนวโน้มขยายตัวสูง จากการเติบโตของชนชั้นกลางและความนิยมสินค้าและบริการสมัยใหม่
บริษัทเทคโนโลยีของอินเดียหลายแห่งกลายเป็นผู้เล่นระดับโลก เช่น Infosys, Wipro และ TCS ที่มีบทบาทสำคัญในตลาดไอทีและซอฟต์แวร์ไม่แพ้กับบริษัทชื่อคุ้นหูใน Silicon Valley โดยบางแห่งยังรับงานจากบริษัทยักษ์ใหญ่ในสหรัฐและยุโรปด้วย ทำให้ภาคเทคโนโลยีของอินเดียเติบโตแบบยั่งยืนและมีบทบาทในระบบเศรษฐกิจโลก ส่งผลต่อการเติบโตของกองทุนหุ้นอินเดีย
ดัชนี Nifty 50 ของอินเดียสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างน่าพอใจ โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีของ Nifty 50 Index อยู่ที่ประมาณ 11–13% ต่อปี ถึงจะมีช่วงที่ตกลงไปบ้าง แต่นักวิเคราะห์หลายแห่งก็ยังประเมินว่าราคาหุ้นในตลาดอินเดียยังมี “Upside” ให้เติบโตอีกมาก เมื่อเปรียบเทียบกับหลายประเทศที่ราคาหุ้นสูงจนสะท้อนมูลค่าอนาคตไปล่วงหน้าแล้ว
จากข้อมูลข้างต้น ถ้านักลงทุนคนไหนสนใจที่จะลงทุนในกองทุนหุ้นอินเดีย แต่ไม่รู้ว่าจะเลือกกองไหนดี ขอแนะนำ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นอินเดีย (SCBINDIA)
โดยกองทุนหุ้นอินเดียนี้มีลักษณะเป็น Feeder Fund ที่เน้นลงทุนใน iShares India 50 ETF ซึ่งเป็นกองทุนหลักที่อิงดัชนี Nifty 50 Index ดัชนีที่สะท้อนภาพรวมของหุ้นขนาดใหญ่ในอินเดีย ทั้งในภาคการเงิน พลังงาน สินค้าอุปโภคบริโภค และเทคโนโลยี
นอกจากนี้ กองทุนหุ้นอินเดีย SCBINDIA ยังอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อบริหารพอร์ตอย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยลดความผันผวนจากปัจจัยภายนอก
เรียกได้ว่าอินเดียไม่ใช่เพียงประเทศกำลังพัฒนา แต่กำลังกลายเป็น “ฟันเฟืองหลัก” ของเศรษฐกิจโลก ดังนั้น การเริ่มต้นลงทุนในกองทุนหุ้นอินเดียตั้งแต่วันนี้อาจเป็นก้าวสำคัญสู่พอร์ตที่เติบโตอย่างยั่งยืน และหากคุณกำลังมองหาแพลตฟอร์มที่ให้คุณซื้อขาย กองทุนหุ้นต่างประเทศ หุ้น DR และ ETF จากตลาดหุ้นอินเดียและประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก ได้สะดวกในแอปเดียว InnovestX พร้อมให้คุณเปิดพอร์ตลงทุนต่างประเทศด้วยตัวเอง ง่าย ปลอดภัย และครบทั้งข้อมูลเชิงลึกจากมืออาชีพ
ดาวน์โหลดแอป InnovestX ได้เลยวันนี้ ทั้งบน App Store, Google Play Store และ Huawei Gallery
คำเตือน
*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศโดยตรงมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
ข้อมูลอ้างอิง: