LNG สหรัฐฯ เข้ามาลดแรงกดดันช่วงฤดูหนาวยุโรปได้ทันเวลา Downside ต้นทุนไฟฟ้า
ปริมาณส่งออก LNG จากสหรัฐฯ ใน พ.ย. 2025 มีแนวโน้มจะทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 10.7 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้น 41%YoY (Figure 2) โดย Kpler ประเมินจากปริมาณการเดินเรือขนส่ง LNG ที่สูงขึ้น (Bloomberg) และตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไป ด้าน Venture Global (VG.US) และ Cheniere (LNG.US) มีแนวโน้มจะส่งออก LNG เพิ่มขึ้น อ้างอิงจากการยื่นขออนุญาตเพิ่มเติมในช่วงสิ้นปีนี้ (Argus) ขณะที่การแย่งชิง LNG ในตลาดโลกมีแนวโน้มจะไม่รุนแรง สัดส่วนการนำเข้า LNG เทียบกับการนำเข้าก๊าซฯ ทั้งหมดช่วง 10M25 ลดลงสู่ 52% เทียบกับช่วง 10M24 ที่ 58% (Figure 3) และปริมาณนำเข้า LNG ลดลงสู่ 53.7 ล้านตัน ลดลง 16%YoY (Figure 4)
มองราคาก๊าซฯ ยุโรปและ LNG จะไม่ผันผวนเทียบเท่าช่วงฤดูหนาวในปี 2022 ที่เกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน อุปทาน LNG จากสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นและเริ่มเพียงพอที่จะชดเชยอุปทานก๊าซฯ ในยุโรปส่วนใหญ่ที่เดิมพึ่งพาการนำเข้าจากรัสเซียได้ ขณะที่ยุโรปได้เตรียมมาตรการรองรับต่อเนื่องนับตั้งแต่สงครามรัสเซีย-ยูเครนเริ่มต้น และจีนมีแนวโน้มแย่งชิง LNG ในตลาดโลกลดลง โดยนำเข้าก๊าซฯ ผ่านท่อจากรัสเซียเพิ่มขึ้น, การผลิต RE เพิ่มขึ้น และราคาถ่านหินที่ลดลง โดยราคาเฉลี่ยถ่านหิน Newcastle Coal ช่วง 4Q25TD ลดลง 23%YoY และ 2%QoQ (Figure 5) เป็นบวกต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP จากมาร์จิ้นที่สูงขึ้นตามต้นทุนเชื้อเพลิงที่ลดลง เชิงกลยุทธ์ สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ แนะนำเก็งกำไร BGRIM และ GPSC ซึ่งมี Sentiment เชิงบวกจากความคาดหวังการลดดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม FOMC วันที่ 9-10 ธ.ค. 2025 และการประชุม กนง. วันที่ 17 ธ.ค. 2025 และประเมินจะได้รับผลกระทบจำกัดจาก กกพ. ที่ได้ประกาศลดค่าไฟฟ้างวด ม.ค. – เม.ย. 2026 ลงสู่ 3.88 บาท/หน่วย ซึ่งยังใกล้เคียงกับกรณีฐานในปี 2026 ของ INVX ที่ 3.90 บาท/หน่วย ขณะการปรับโครงสร้างราคาก๊าซฯ จะกระทบต่อธุรกิจโรงไฟฟ้า SPP ในระยะสั้นและต้นทุน LNG ที่มีแนวโน้มลดลงในระยะต่อไปจะสามารถชดเชยได้ ส่วนเชิงพื้นฐาน ทยอยสะสม GULF ที่มีการกระจายความเสี่ยงเชิงธุรกิจสูง และได้รับผลกระทบจากประเด็นข้างต้นน้อยกว่าเทียบกับกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ติดตามสภาพอากาศในยุโรปซึ่งอาจทำให้ต้นทุนเชื้อเพลิงสูงขึ้นหากปรากฎการณ์ Polar Vortex หรือ La Nina หนุน
ความต้องการเดินทางทางอากาศสูงขึ้นช่วงสิ้นปี หนุนโรงกลั่นเน้นผลิตน้ำมันอากาศยาน
ความต้องการเดินทางทางอากาศมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นในช่วงสิ้นปี 2025 IATA เผยการเติบโตของจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศของโลกใน ต.ค. 2025 เร่งตัวขึ้นสู่ 8.5%YoY จากใน ก.ย. ที่ขยายตัว 5.7%YoY และประเมินยอดจองตั๋วเครื่องบินทั่วโลกใน ธ.ค. 2025 เพิ่มขึ้น 4.7%YoY เป็นอัตราเติบโตสูงที่สุดในปีนี้ เร่งตัวจากใน พ.ย. และ ต.ค. ที่ 3.6%YoY และ 3.4%YoY สอดคล้องกับจำนวนผู้โดยสารทางอากาศของสหรัฐฯ ที่เห็นการเร่งตัวขึ้นนับตั้งแต่ช่วงกลาง พ.ย. หลังสิ้นสุด US Government Shutdown และเข้าสู่ช่วง Thanksgiving (Figure 6)
มองเป็นบวกระยะสั้นต่อส่วนต่างราคาน้ำมันอากาศยานตามความต้องการที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงสิ้นปีนี้ตามฤดูกาล ขณะที่สต็อกน้ำมันดิบสำเร็จรูปอยู่ในระดับต่ำ (Figure 7) จากช่วงก่อนที่โรงกลั่นทยอยปิดซ่อมบำรุง, การผลิตชะงักเนื่องจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน และมาตรการคว่ำบาตรของ EU สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ เชิงกลยุทธ์ เก็งกำไรระยะสั้น TOP ซึ่งมีสัดส่วนการผลิตน้ำมันอากาศยานสูง (Figure 8) และได้ปัจจัยหนุนเพิ่มเติมจากซาอุฯ ปรับลดราคาส่งออกสู่เอเชีย (OSP) ใน ม.ค. 2026 ลง US$0.60/bbl สู่ระดับต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี (Bloomberg) ติดตามอุปทานน้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มเติมจากโรงกลั่นจีนซึ่งอาจเข้ามากดดันส่วนต่างราคา หลังรัฐบาลจีนได้ประกาศโควตานำเข้าน้ำมันดิบเพิ่มเติมสำหรับช่วงสิ้นปี 2025
ความเสี่ยง: เศรษฐกิจโลกที่ผันผวน, การเมืองในสหรัฐฯ, สถานการณ์ในตะวันออกกลาง, การเมืองในประเทศ, นโยบายพลังงานสหรัฐฯ และไทย, รัสเซีย-ยูเครน, นโยบายการผลิตของ OPEC+