ตลาดน้ำมันเผชิญแรงกดดันจาก OPEC+ เพิ่มอุปทานต่อเนื่อง US Shutdown กดดันทางอ้อม
ที่ประชุม OPEC+ มีมติเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบใน พ.ย. 2025 อีก +137kBD ต่อเนื่องเป็นเดือนที่แปดนับตั้งแต่ เม.ย. 2025 รวม +2.7MBD หรือราว 2.5% ของอุปสงค์โลก (Figure 2) ซึ่งได้เกินจากการกลับมาตรการลดการผลิตแบบสมัครใจและการเพิ่มตามโควตาของ UAE รวม 2.5MBD และเข้าสู่มาตรการลดการผลิตแบบสมัครใจส่วน 1.66MBD (Figure 3, Reuters) ตลาดน้ำมันได้ปรับลงตอบสนองต่อสัญญาณการปรับลดดังกล่าวไปแล้ว ราคาน้ำมันดิบ Brent ได้ปรับลง 8%WoW และตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2025 ได้เกิดการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ชั่วคราว หรือ US Government Shutdown เนื่องจากสภาคองเกรสไม่ผ่านกฎหมายงบประมาณชั่วคราว ทำให้บางหน่วยงานจะต้องหยุดดำเนินงานและระงับการให้บริการ แต่หน่วยงาน เช่น EIA, กระทรวงพลังงาน และมหาดไทยยังคงดำเนินการต่อ และงานอนุมัติโครงการพลังงานจะคงดำเนินต่อ โดยเฉพาะโครงการน้ำมันและก๊าซฯ แต่โครงการ RE ส่วนใหญ่จะถูกระงับ (Argus)
ในระยะสั้นมองเป็นลบต่อราคาน้ำมัน แรงกดดันหลักมาจากอุปทานน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจากการเพิ่มการผลิตของ OPEC+ โดยเฉพาะซาอุฯ ที่กลับกำลังการผลิตในส่วนที่หยุดผลิตไปครบแล้ว โดยใน ก.ย. 2025 ได้เพิ่มการผลิตอีก 320kBD ทำให้อุปทานจากซาอุฯ เพิ่มขึ้นเป็น 10MBD และการส่งออกน้ำมันดิบของซาอุฯ ได้ทำระดับสูงสุดในรอบ 18 เดือนที่ 6.4MBD หรือราว 6.2% ของอุปสงค์โลก (Figure 4, Bloomberg) และมองตลาดน้ำมันจะได้รับผลกระทบทางอ้อมจาก US Government Shutdown ผ่านผลกระทบด้านเศรษฐกิจจากการเบิกจ่ายและการบริโภคที่ชะงักลง โดยเฉพาะ Sentiment เชิงลบจากการประเมินผลกระทบต่อ GDP ที่ตลาดประเมินว่าจะกระทบ GDP สหรัฐฯ ราว 0.1-0.2% ต่อการ Shutdown เป็นเวลา 1 สัปดาห์ ระมัดระวังการลงทุนในอุตฯ น้ำมันต้นน้ำท่ามกลางปัจจัยกดดันและช่วงที่ผ่านมาราคาน้ำมันดิบไม่ตอบสนองต่อปัจจัยพื้นฐาน และความไม่แน่นอนในตลาด เช่น มาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย และมาตรการการค้าต่อประเทศที่นำเข้าน้ำมันรัสเซีย สำหรับนักลงทุนที่ต้องการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในตลาดน้ำมัน แนะนำทยอยสะสม PRM ซึ่งดำเนินธุรกิจส่วนใหญ่ในอาเซียนและในระยะสั้นได้อานิสงส์ปริมาณการบริโภคน้ำมันที่จะเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล
การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล ราคาน้ำมันลง-ค่าการตลาดสูงขึ้น หนุนค้าปลีกน้ำมัน
กรมธุรกิจพลังงานเผยการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในไทยช่วง 7M25 เพิ่มขึ้น 0.1%YoY สู่ 156.9 ล้านลิตร/วัน เป็นการเพิ่มขึ้นจากเบนซินและน้ำมันอากาศยาน +1.5%YoY และ +9.8%YoY ตามลำดับ ส่วนการใช้ดีเซลลดลง 2.0%YoY (Figure 5) ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ดีขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่กองทุนเริ่มเก็บเงินสมทบได้ตั้งแต่ ส.ค. 2024 และฐานะบัญชีน้ำมันพลิกเกินดุลตั้งแต่ พ.ค. 2025 ล่าสุดฐานะบัญชีน้ำมันเกินดุล 2.4 หมื่นลบ. และใน ก.ย. 2025 มีเม็ดเงินไหลเข้าเฉลี่ย 160 ลบ./วัน (Figure 6) และ กบน. ได้สั่งลดอัตราสมทบกองทุนน้ำมันฯ จากดีเซลและเบนซินทุกชนิดลง 50 สต./ลิตร เป็นไปตามนโยบายลดค่าครองชีพของรัฐบาลใหม่ ซึ่งจะมีผลวันที่ 4 ต.ค. 2025 (ENC)
มองเป็นบวกต่อกลุ่มค้าปลีกน้ำมันซึ่งมีปัจจัยหนุนจาก 1) ปริมาณใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่จะเพิ่มขึ้นตามฤดูกาลใน 4Q25 ตามการเดินทางที่เพิ่มขึ้น ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาพบว่าการบริโภคดีเซลและเบนซินช่วงไตรมาส 4 จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6.6%QoQ (Figure 7), 2) การปรับลดอัตราสบทบกองทุนน้ำมันฯ เพื่อลดค่าครองชีพซึ่งจะเป็น Sentiment เชิงบวกหนุนปริมาณบริโภคเชื้อเพลิงเพิ่มเติมจากปัจจัยฤดูกาล ขณะที่กองทุนน้ำมันฯ ยังคงมีเงินไหลเข้า เนื่องจากการลดอัตราสมทบจะกระทบเม็ดเงินไหลเข้าราว 50 ลบ./วัน และ 3) ค่าการตลาดที่มีสัญญาณฟื้นตัว (Figure 8) หนุนจากราคาน้ำมันโลกที่ปรับลงและไม่มีแรงกดดันจากฐานะกองทุนน้ำมันฯ ที่ดีต่อเนื่อง ทำให้ไม่มีแรงกดดัน เชิงกลยุทธ์ สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ รอจังหวะเก็งกำไรระยะสั้น OR ซึ่งมีสัดส่วนการจำหน่ายเบนซินสูงที่สุดในกลุ่ม และมีการกระจายความเสี่ยงเชิงในธุรกิจ non-oil ที่แข็งแกร่งและมีแนวโน้มเติบโต ติดตามความเสี่ยงการเกิดอุทกภัยซึ่งอาจกระทบการคมนาคม
ความเสี่ยง: เศรษฐกิจโลกที่ผันผวน, สถานการณ์ในตะวันออกกลาง, การเมืองในประเทศ, นโยบายพลังงานสหรัฐฯ และไทย, รัสเซีย-ยูเครน, นโยบายการผลิตของ OPEC+