PDF Available  
เคาะซื้อ Weekly strategy

เคาะซื้อ Weekly Strategy: RBI ฉีดสภาพคล่อง ขณะที่รูปีเริ่มแข็งค่า หนุนหุ้นอินเดีย แนะเคาะซื้อ K-INDX (29 December 2025 – 2 January 2026)

By ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ|26 Dec 25 11:15 AM
สรุปสาระสำคัญ
สรุปคำแนะนำการลงทุนประจำวันที่ 29 ธันวาคม 2025 - 2 ม.ค. 2026
 
มุมมองรายสินทรัพย์ประจำสัปดาห์

ตราสารทุน

ตลาดหุ้นโลกมีแนวโน้มฟื้นตัว หลังจากย่อตัวและผันผวนในช่วงต้นเดือน โดยได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่งและสภาพคล่องในระบบที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งช่วยพยุง Sentiment การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงให้กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เราประเมินว่ากระแสการสลับกลุ่มลงทุน (Sector Rotation) จะยังคงดำเนินต่อไป เนื่องจาก Valuation ของกลุ่ม AI และเทคโนโลยียังอยู่ในระดับตึงตัว ทำให้เม็ดเงินบางส่วนไหลไปสู่ หุ้น Value โดยเฉพาะกลุ่ม Healthcare ซึ่งมี Valuation ที่น่าสนใจและได้รับแรงหนุนจากปัจจัยกดดันคลี่คลาย ในเชิงภูมิภาค (Country Rotation) นักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงออกจากตลาดหุ้นที่มีสัดส่วนเทคโนโลยีสูง แนะนำตลาดหุ้นยุโรปและอินเดีย ที่กำไรมีแนวโน้มฟื้นตัวดี ขณะเดียวกัน หุ้น US Small Cap ยังคงน่าสนใจในฐานะธีมการลงทุนระยะกลาง จาก Valuation ที่ยังไม่แพง และแนวโน้มกำไรที่เริ่มเร่งตัวขึ้นตามวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง

 

ตราสารหนี้

ตัวเลข GDP ของสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งเกินคาดกดดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (Bond Yield) อายุ 10 ปี ยังคงเคลื่อนไหวในระดับสูงกว่า 4.1% โดยตลาดปรับความคาดหวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยไปอยู่ในช่วงเดือน มิ.ย. 2026 พร้อมมุมมองว่าเฟดยังคงมีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้อย่างจำกัด ขณะเดียวกัน ความกังวลเกี่ยวกับการขาดดุลทางการคลังยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ Bond Yield ของตราสารหนี้ระยะยาวทรงตัวในระดับสูงและมีความผันผวน เรายังคงประเมินว่าตราสารหนี้อายุ 2–5 ปี เป็นช่วงอายุตราสารที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการลงทุนในภาวะปัจจุบัน

 
 สินทรัพย์ทางเลือก
 
ราคาทองคำปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง ทำจุดสูงสุดใหม่ที่ระดับ $4,500 เร็วกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ โดยโมเมนตัมในปัจจุบันสะท้อนถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่ง ส่งผลให้มีโอกาสที่ราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นต่อได้ในระยะสั้น ทั้งนี้ นักลงทุนควรมีความระมัดระวังในการลงทุนทองคำมากขึ้น เนื่องจากราคาปรับขึ้นมาแรงและเร็ว อาจนำไปสู่การย่อตัวหรือพักฐานระหว่างทางได้

ด้าน REITs ไทยมีแนวโน้มได้รับปัจจัยบวกจากการใช้นโยบายการเงินของ ธปท. ที่ผ่อนคลาย อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจอาจชะลอตัวลงเป็นแรงกดดันต่อ REITs ในระยะสั้น โดยเราชื่นชอบ REITs ไทย มากกว่า REITs โลก จากอัตราเงินปันผลและ Dividend yield spread ที่น่าสนใจมากกว่า
[Theme Play] 
 
หุ้นอินเดีย: แนะนำเข้าลงทุนหุ้นอินเดีย หลัง Valuation Premium ของตลาดหุ้นอินเดียเมื่อเทียบกับ Asia ex Japan ปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากราว 90% เหลือประมาณ 53% สะท้อนว่าความตึงตัวด้าน Valuation ได้ผ่อนคลายลง เปิดความน่าสนใจในการเข้าลงทุนตลาดหุ้นอินเดีย ขณะเดียวกัน ค่าเงินรูปีที่มีเสถียรภาพมากขึ้นช่วยลดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนและเอื้อต่อการไหลกลับของเงินทุนต่างชาติ นอกจากนี้ Relative price ระหว่างตลาดหุ้นอินเดียกับตลาดหุ้น EM และ Asia ex Japan ปรับตัวลงมาใกล้ระดับแนวรับสำคัญ สะท้อนว่า downside เชิงเปรียบเทียบเริ่มจำกัด และเปิดโอกาสให้เกิด rotation ของกระแสเงินลงทุน กลับเข้าสู่ตลาดหุ้นอินเดียในระยะถัดไป เราจึงประเมินว่าตลาดหุ้นอินเดียเริ่มกลับมามีความน่าสนใจสำหรับการลงทุนในระยะกลาง 
 
หุ้น US Small Cap: ดัชนี Russell 2000 ได้แรงหนุนจากเฟดปรับลดดอกเบี้ยและอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งช่วยลดภาระต้นทุนทางการเงิน และเป็นแรงหนุนสำคัญต่อหุ้นสหรัฐฯ ขนาดเล็ก (US Small Cap) ขณะเดียวกัน สัญญาณ Rotation จากหุ้นขนาดใหญ่ไปสู่หุ้นสหรัฐฯ ขนาดเล็กเริ่มชัดเจนขึ้น โดยเราประเมินว่าแนวโน้มนี้มีโอกาสดำเนินต่อไปอีกในปี 2026 ซึ่งมีแรงขับเคลื่อนหลักจากการเติบโตกำไรของหุ้นสหรัฐฯ ขนาดเล็กที่มีแนวโน้มฟื้นตัวในอัตราเร่งและโดดเด่นกว่าหุ้นขนาดใหญ่ ขณะที่ Valuation ของหุ้นขนาดเล็กยังอยู่ในระดับน่าสนใจมากกว่า เราประเมินว่าปัจจัยหนุนทั้งนโยบายการเงินผ่อนคลายและการฟื้นตัวของกำไรจะหนุนให้หุ้นสหรัฐฯ ขนาดเล็กมีโอกาสปรับตัวขึ้นโดดเด่นในระยะถัดไป

China Technology: ดัชนี HSTECH ปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือบริเวณ 5,400 จุด ซึ่งเป็นแนวรับสำคัญ บ่งชี้แนวโน้มการกลับตัวจากขาลง ในขณะที่ PBOC ยังคงอัตราดอกเบี้ย LPR 1 ปี และ 5 ปี ที่ 3% และ 3.5% ตามลำดับ แต่ส่งสัญญาณใช้นโยบายผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลจีนที่ย้ำถึงการใช้นโยบายการคลังเชิงรุกมากขึ้น ซึ่งอาจช่วยหนุนเศรษฐกิจและบรรยากาศการลงทุนในระยะต่อไป ทั้งนี้ เรามองว่าเป็นโอกาสในการสะสมสำหรับนักลงทุนระยะกลาง จากระดับ Valuation ที่ยังอยู่ในเกณฑ์จูงใจ โดยปัจจุบันดัชนีซื้อขายที่ FWD P/E ราว 19.3 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ 22.8 เท่า ขณะเดียวกัน แนวโน้มกำไรของบริษัทเทคโนโลยีมีโอกาสฟื้นตัวต่อเนื่องในปี 2026

Europe Equity:
ตลาดยุโรปมีแนวโน้มได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้น จากสัดส่วนการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีที่ต่ำกว่าตลาด DM อื่น ๆ ในขณะที่เศรษฐกิจยุโรปยังคงมีแนวโน้มฟื้น และเงินเฟ้ออยู่ในระดับควบคุมได้ จะช่วยหนุนการเติบโตของ EPS ในปี 2026 โดยอ้างอิงข้อมูลจาก Bloomberg Consensus ซึ่งมีแนวโน้มช่วยหนุนตลาดหุ้นยุโรปในระยะถัดไป

 
[Event Play]
 
Global Healthcare: จากลักษณะของหุ้นที่มีความเป็น Defensive เราประเมินว่าหุ้นกลุ่ม Healthcare ยังคงเป็นทางเลือกสำหรับนักลงทุนเมื่อเกิดความกังวลเกี่ยวกับ AI ส่งผลให้หุ้นกลุ่มนี้มีโอกาสได้รับประโยชน์จากการเกิด Sector Rotation จากกลุ่มเทคโนโลยีเข้ามามากขึ้น ขณะที่ Valuation ของกลุ่มยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับตลาดโดยรวมที่ตึงตัวมากขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ยังคงเป็นแรงสนับสนุนสำคัญต่อภาพการฟื้นตัวของหุ้นกลุ่ม Healthcare
Author
DR RHATSARUN TANAPAISANKIT
ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ

Head of Investment Strategy & Trading Product Specialist

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5