PDF Available  
เคาะซื้อ Weekly strategy

เคาะซื้อ Weekly Strategy: Berkshire เข้าลงทุนใน Alphabet ตอกย้ำธีม AI แม้ตลาดกังวลกระแสบูมจางหาย (24 - 28 November 2025)

By ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ|21 Nov 25 2:30 PM
สรุปสาระสำคัญ
สรุปคำแนะนำการลงทุนประจำวันที่ 24 - 28 พฤศจิกายน 2025
 
มุมมองรายสินทรัพย์ประจำสัปดาห์

ตราสารทุน

สัปดาห์หน้าคาดว่าตลาดหุ้นยังเผชิญความผันผวนในระดับสูงจากความไม่แน่นอนว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. ได้หรือไม่ ขณะเดียวกันแรงหนุนจากฤดูกาลประกาศผลประกอบการเริ่มลดลง เนื่องจากบริษัทส่วนใหญ่รายงานงบครบแล้ว ทำให้ตลาดให้น้ำหนักกับปัจจัยมหภาคและทิศทางนโยบายการเงินมากขึ้นในระยะสั้น ทั้งนี้ เรายังคงเห็นสัญญาณของ Sector rotation ที่ยังคงดำเนินต่อไปโดยเฉพาะในกลุ่ม Defensive และ Value โดยเราประเมินว่าการปรับฐานรอบนี้มีลักษณะเป็นHealthy Correction เพื่อปรับสมดุลของตลาดจากช่วงที่ผ่านมาตลาดให้ความหวังต่อกลุ่ม AI ไปค่อนข้างมาก ในระยะสั้นเราแนะนำเน้นหุ้นกลุ่ม Defensive เช่น Healthcare เพื่อรักษาความเสี่ยงพอร์ต สำหรับระยะยาวมองจังหวะนี้เป็นโอกาสทยอยสะสมหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรเติบโตเด่นในระยะต่อไป ในหุ้นเทคโนโลยีจีนและหุ้นสหรัฐฯ ขนาดเล็ก ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปมีแนวโน้มได้ประโยชน์จาก Country rotation จากทางฝั่งสหรัฐฯ เพื่อลดการกระจุกตัวในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

 
ตราสารหนี้

ตราสารหนี้มีแนวโน้มผันผวน จากความไม่แน่นอนในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด รอบเดือน ธ.ค. 2025 โดยตัวเลขตลาดแรงงานเดือน ก.ย. ที่ผ่านมายังส่งสัญญาณเป็นทิศทางผสม ส่งผลให้ความเห็นของคณะกรรมการเฟดยังคงมีแนวโน้มแตกแยก นอกจากนี้การขาดดุลการคลังของสหรัฐฯ ยังเป็นปัจจัยกดดันในภาพใหญ่ ที่ส่งผลให้ Bond Yield จะปรับตัวลดลงได้อย่างจำกัดแม้มีเฟดมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยภาวะในปัจจุบันเราประเมินตราสารหนี้ระยะกลางที่มีอายุเป็น 3-5 ปี เป็นช่วงอายุที่มีความเหมาะสมที่สุด

 
 สินทรัพย์ทางเลือก
 
เราประเมินว่าราคาทองคำยังเคลื่อนไหวในกรอบ $4,000–$4,200 โดยอยู่ในช่วงการสร้างฐานราคา (consolidation phase) ขณะที่แรงกดดันยังมาจาก ความไม่ชัดเจนของโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. รวมถึง ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังออกมาดี ซึ่งลดความต้องการถือทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ในระยะสั้นเรามองว่าทองคำยังไม่น่าทะลุจุดสูงสุดเดิมได้ และมีแนวโน้มแกว่งตัวสะสมในกรอบเดิมไปก่อนจนถึงช่วงไตรมาส 1/2026

ด้าน REITs ไทยมีแนวโน้มได้รับปัจจัยบวกจากการใช้นโยบายการเงินของ ธปท. ที่ผ่อนคลาย อย่างไรก็ตามความเสี่ยงที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจอาจชะลอตัวลงเป็นแรงกดดันต่อ REITs ในระยะสั้น-กลาง
[Theme Play] 
 
หุ้น US Small Cap: หุ้นสหรัฐฯ ขนาดเล็กได้รับแรงหนุนจากวงจรดอกเบี้ยขาลงและนโยบายการคลังของรัฐบาลทรัมป์ อย่างนโยบาย One Big Beautiful Bill (OBBB) ซึ่งมุ่งกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ ส่งผลบวกต่อกลุ่มบริษัทขนาดเล็กที่มีรายได้ในประเทศกว่า 80% ขณะเดียวกัน ผลประกอบการของบริษัทในดัชนี Russell 2000 เริ่มกลับมาเติบโต YoY เป็นบวก ครั้งแรกในรอบ 3 ปี ในไตรมาส 3/2025 และคาดว่าจะเร่งตัวต่อเนื่องในปี 2026 ขณะที่เฟดมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในช่วงไตรมาส 4/2025 ช่วยลดต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจและสนับสนุนการฟื้นตัวของกำไร นอกจากนี้ Valuation ของหุ้นขนาดเล็กยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยซื้อขายที่ FWD P/E ราว 17.5 เท่า ต่ำกว่าดัชนี S&P 500 ที่ 23 เท่า เราประเมินว่าปัจจัยหนุนระหว่างนโยบายการเงินผ่อนคลาย และการฟื้นตัวของกำไร จะหนุนให้หุ้น US Small Cap มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อในระยะกลาง

China Technology: งบการเงินไตรมาส 3/2025 ของหุ้นเทคฯจีน ยังคงเติบโตขึ้นทั้งรายได้และกำไรกว่า 10% แม้อัตราการทำกำไรของบางกลุ่มถูกกดดันจากการแข่งขันที่รุนแรง แต่เริ่มส่งสัญญาณผ่อนคลายลง ในขณะที่การประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนยังคงเน้นย้ำการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี การเติบโตเชิงคุณภาพ และการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด นโยบายเหล่านี้ยังคงมีแนวโน้มสนับสนุนการเติบโตของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีนต่อ ด้าน Valuation ยังคงอยู่ในระดับที่ไม่แพง ในขณะที่ EPS Growth มีแนวโน้มกลับมาเติบโตได้ดีใน 1-2 ปีข้างหน้า

Europe Equity:
สัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจยุโรปยังคงมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เงินเฟ้ออยู่ในระดับควบคุมได้ ด้านกำไรของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี STOXX 600 มีการเร่งตัวขึ้นในไตรมาสที่ 3/2025 และคาดว่าจะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2026 มีโอกาสจะนำไปสู่การอัปเกรด EPS Growth และช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุน โดย STOXX 600 ยังคงมีระดับ Forward PE ที่สมเหตุสมผล มีโอกาสให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อในช่วงที่ EPS เร่งตัวขึ้นต่อเนื่อง
 
[Event Play]
 
Global Healthcare: Eli Lilly เซ็นสัญญา 475 ล้านดอลลาร์กับ MeiraGTx เพื่อพัฒนาเทคโนโลยี gene therapy สำหรับโรคตาพันธุกรรมรุนแรง โดย Lilly ได้สิทธิ์ทั่วโลกในการใช้เทคโนโลยี AAV-AIPL1 สำหรับการรักษาโรคทางตา พร้อมสิทธิ์เข้าถึงเทคโนโลยี Riboswitch เพื่อประยุกต์ใช้ในการ gene editing ในอนาคต ดีลนี้สะท้อนการขยายตัวของนวัตกรรมในอุตสาหกรรมยาที่ยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาหุ้น Eli Lilly ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ และเป็นแรงบวกหนุนต่อหุ้นกลุ่ม Healthcare โดยรวม เราประเมินว่าโมเมนตัมของกลุ่ม Healthcare ยังมีแนวโน้มไปต่อ ภายใต้แรงหนุนจากปัจจัยลบต่างๆ ที่คลี่คลายและ Valuation ที่ยังอยู่ในระดับน่าสนใจเมื่อเทียบกับตลาดโดยรวมที่ตึงตัว นอกจากนี้ ความกังวลต่อมูลค่าที่ตึงตัวของหุ้นในธีม AI อาจกระตุ้นให้เกิดการ Rotation จากหุ้นในกลุ่ม Growth ไปสู่หุ้น Defensive อย่างหุ้นกลุ่ม Healthcare
Author
DR RHATSARUN TANAPAISANKIT
ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ

Head of Investment Strategy & Trading Product Specialist

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5