Keyword
PDF Available  
Special Report - Thai Stocks

กลยุทธ์การลงทุน - กลยุทธ์ลงทุนตลาดหุ้นไทย หลังล่าสุดสหรัฐแจ้งเรียกเก็บภาษีศุลกากรจากไทยที่ 36%

9 Jul 25 11:16 AM
สรุปสาระสำคัญ

INVX มองช่วงสั้น SET จะผันผวนสูงและมีแนวโน้มปรับตัวลง จากความกังวลไทยถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษีศุลกรในอัตรา 36% สูงกว่าประเทศคู่แข่งสำคัญในกลุ่มอาเซียน ซึ่งจะทำให้ไทยมีโอกาสสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน กดดันให้ GDP ไทยชะลอตัว ทั้งนี้แม้สถานการณ์ล่าสุดจะสอดคล้องกับกรณี Worse Case ที่เราเคยประเมินไว้ โดยกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบเชิงลบ ได้แก่ กลุ่มผู้ส่งออกอาหารทะเลและอาหารสัตว์ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มนิคมฯ อย่างไรก็ดี มองไทยยังมีเวลาเจรจาการค้ากับสหรัฐในช่วงก่อนภาษีจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ส.ค. 68 อีกทั้งหุ้นในกลุ่มดังกล่าวมีผลกระทบต่อกำไรตลาดไม่มาก ทำให้ระยะสั้นคาด SET จะยังไม่ปรับลงไปต่ำกว่า 1056 (จุดต่ำสุดเดิมที่เกิดขึ้นจากประกาศภาษีครั้งแรกเมื่อ เม.ย.) ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนระยะสั้นในช่วงตลาดผันผวน แนะนำทยอยสะสม 1) หุ้น Defensive ที่ผันผวนต่ำและผลการดำเนินงานต้านทานความเสี่ยงภายนอกได้ อีกทั้งยังสามารถจ่ายปันผลสม่ำเสมอ แนะนำ ADVANC DIF BCH 2) หุ้น Undervalue (PER PBV < -1SD) และฐานะการเงินแข็งแกร่ง สามารถจ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ แนะนำ BDMS BBL TIDLOR สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง และเชื่อว่าการเจรจา (ก่อนที่ภาษีจะมีผลบังคับใช้) จะทำให้สหรัฐพิจารณาปรับลดภาษีไทยลงมาอยู่ที่ระดับ 20% หรือต่ำกว่า อาจพิจารณาเก็งกำไรในหุ้นที่คาดฟื้นตัวเร็ว แนะนำ AMATA GPSC WHA

  • ล่าสุดสหรัฐฯ ส่งจดหมายระบุถึงอัตราภาษีศุลกากรใหม่ที่สหรัฐจะเรียกเก็บจากประเทศต่างๆ โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 68 โดยไทยถูกเก็บในอัตรา 36% เท่าเดิม หากเทียบประกาศเดิมเมื่อ 2 เม.ย. ที่ผ่านมา ซึ่ง INVX มองว่าช่วงสั้น SET จะผันผวนสูงและมีแนวโน้มปรับตัวลง เนื่องจากกังวลไทยจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันด้านราคาและส่วนแบ่งตลาดลดลงในสหรัฐ รวมทั้งมีความเสี่ยงต่อการย้ายฐานการผลิตและการลดลงของ FDI หลังโดนเก็บภาษีศุลกากรสูงกว่าประเทศคู่แข่งในกลุ่มอาเซียน อย่างเวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ซึ่งจะกดดันให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลง

  • ทั้งนี้ INVX ได้ประเมินผลกระทบของมาตรการเก็บภาษีสินค้าไทยส่งออกไปสหรัฐไปในรายงานเมื่อวันที่ 4 ก.ค. ซึ่งสถานการณ์ล่าสุดสอคคล้องกับกรณี Worse Case คือ ไทยต้องเผชิญภาษีส่งออกที่ระดับ 36% จึงทำให้คาดปีนี้ GDP จะหดตัวที่ -1.1% ซึ่งถือเป็นการชะลอตัวอย่างรุนแรงที่สุด โดยการส่งออกคาดจะลดลงเกิน 10% ในช่วง 2H68 ขณะที่ SET Index ประเมินมีโอกาสปรับตัวลงไปหลุด 1000 จุด หากไม่สามารถเจรจาใดๆ เพิ่มเติมได้ อย่างไรก็ดี มองไทยยังมีเวลาเจรจาการค้ากับสหรัฐ ซึ่งล่าสุดไทยมีแผนเสนออัตราภาษีนำเข้ากับสินค้าสหรัฐ 0% (ไม่ได้ให้หมดทุกรายการ) เช่นเดียวกับเวียดนาม ซึ่งคงต้องติดตามว่าสหรัฐอาจพิจารณาปรับลดภาษีไทยลงจากที่ตั้งไว้ นอกจากนั้นภาครัฐอาจเตรียมมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงนโยบายการเงินผ่านการลดดอกเบี้ยฉุกเฉินเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ สำหรับผลกระทบลบต่ออุตสาหกกรมกรณีที่ไทยปรับลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐเหลือ 0% ได้แก่ กลุ่มยานยนต์ กลุ่มเครื่องดื่ม และกลุ่มอาหาร (กรณีเปิดให้นำเข้าเนื้อหมูได้) ด้านกลุ่มที่อาจได้ประโยชน์ ได้แก่ กลุ่มโรงไฟฟ้าจากต้นทุน LNG ที่ลดลง  

  • ล่าสุดสหรัฐฯ ส่งจดหมายถึงผู้นำประเทศต่างๆ โดยระบุว่าอัตราภาษีใหม่นี้เท่ากับต้นทุนในการทำธุรกิจกับสหรัฐซึ่งเป็นตลาดอันดับหนึ่งของโลก โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 68 โดยไทยถูกเก็บในอัตรา 36% เท่าเดิมหากเทียบประกาศเดิมเมื่อ 2 เม.ย. พบว่า 8 ประเทศถูกปรับลดภาษีนำเข้า ได้แก่ ลาว (จาก 48% → 40%), เมียนมา (44% → 40%), กัมพูชา (49% → 36%), บังกลาเทศ (37% → 35%), เซอร์เบีย (37% → 35%), บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา (35% → 30%) ตูนิเซีย (28% → 25%) และคาซัคสถาน (27% → 25%) ขณะที่ 4 ประเทศอัตราภาษีไม่เปลี่ยนแปลง ได้แก่ ไทย (36%), อินโดนีเซีย (32%), แอฟริกาใต้ (30%) และเกาหลีใต้ (25%) ส่วน 2 ประเทศที่ถูกปรับเพิ่มภาษี ได้แก่ ญี่ปุ่น (24% → 25%), มาเลเซีย (24% → 25%)

  • ทั้งนี้ในส่วนของไทย สหรัฐฯ ระบุว่าแม้จะยังเห็นความสำคัญของความสัมพันธ์การค้า แต่จำเป็นต้อง “ก้าวต่อไป” ด้วยเงื่อนไขการค้าที่ “สมดุลและเป็นธรรมมากขึ้น” โดยระบุว่าความสัมพันธ์ทางการค้ากับไทยที่ผ่านมา “ไม่เป็นธรรม และไม่อยู่บนหลักต่างตอบแทน (reciprocal)” จึงประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยที่ 36% แยกจากอัตราภาษีรายอุตสาหกรรม และหากพบว่า สินค้ามีการสวมสิทธิ (transship) เพื่อเลี่ยงภาษี จะถูกเก็บภาษีในอัตราที่สูงขึ้น

  • อย่างไรก็ดี สหรัฐฯ ระบุว่าหากไทยหรือบริษัทไทยเลือกลงทุนในสหรัฐฯ จะไม่มีการเก็บภาษีนำเข้า และรัฐบาลสหรัฐฯ ยินดีเร่งรัดการอนุมัติที่จำเป็น นอกจากนี้ท้ายจดหมายระบุว่า หากไทยยกเลิกนโยบายทางภาษีและอุปสรรคการค้าแบบไม่ใช่ภาษี (non-tariff barriers) สหรัฐฯ อาจพิจารณาลดภาษีที่ตั้งไว้ และยืนยันว่าไทยจะ “ไม่ผิดหวัง” กับสหรัฐอเมริกาในฐานะคู่ค้าระยะยาว

 

ภาษี.JPG

 

Summary

 

INVX expects the SET Index to remain highly volatile in the short term, with a downside bias, driven by concerns over the US imposing a 36% tariff on Thai goods — a rate significantly higher than those faced by key ASEAN peers. This raises fears that Thailand could lose competitiveness, which may weigh on the country’s GDP growth. This aligns with our previously identified “worst case” scenario; the sectors positioned to be hurt most are seafood and animal feed exporters, electronics manufacturers and industrial estate operators. At the same time, Thailand still has time to negotiate with the US before the tariffs take effect on August 1. Moreover, the affected sectors have a limited impact on overall market earnings. As a result, we expect the SET to remain above 1056 — the previous low touched after the initial tariff announcement in April. Amid short-term volatility, we recommend a selective accumulation strategy focused on: 1) defensive stocks with low volatility, resilient earnings, and consistent dividend payouts — such as ADVANC, DIF, and BCH; 2) undervalued stocks (PER and PBV below -1SD) with strong financials and solid dividend records — BDMS, BBL, and TIDLOR. For high-risk investors who feel negotiations may bring tariffs down to 20% or below, speculative plays in stocks expected to rebound quickly may be worth considering - recommended names include AMATA, GPSC, and WHA.

 

  • The US recently issued a formal notice outlining new tariff rates on imports from various countries to take effect on August 1. Thailand will face the same 36% tariff rate as announced earlier on April 2. INVX believes this will bring high volatility to the SET in the short term, with a downside bias on concerns that Thailand will lose its price competitiveness and market share in the US. There is also a risk that global manufacturers would shift production bases and reduce FDI in Thailand if it faces higher tariffs than key ASEAN peers like Vietnam, Malaysia, and Indonesia — a situation that could weigh heavily on Thailand’s economic momentum.
  • INVX previously analyzed the potential impact of these tariffs in its July 4 report, and the current development aligns with our “worst case” scenario, in which Thailand is levied a 36% export tariff. Under this scenario, Thailand’s GDP is projected to contract by 1.1% in 2025, the sharpest slowdown in years. Exports are expected to decline by more than 10% in 2H25. Should further trade negotiations fail, the SET may fall below the 1000-point level. However, there is still a window for Thailand to negotiate with the US. The Thai government reportedly plans to propose a 0% import tariff on selected U.S. goods — similar to Vietnam's approach — which could persuade the US to revise the tariff rate downward. In addition, the government may roll out support programs for affected businesses, including monetary easing through an emergency interest rate cut to stimulate the economy. On the downside, industries that could be negatively impacted if Thailand adopts a 0% import tariff on US products include the automotive, beverage and food sectors (particularly if pork imports are allowed). On the other hand, power producers could benefit from lower LNG input costs.

Download PDF Click > Thai-Equity-Investment-Strategy-Following-the-Latest-US-Tariff-Imposition-on-Thai-Exports-at-36_250708_E.pdf

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5