IEA OPEC เห็นตลาดน้ำมันเผชิญอุปทานล้นเกินชัดขึ้น ระยะสั้นโรงกลั่นมีความน่าสนใจกว่า
IEA ปรับคาดการณ์การเติบโตอุปทานน้ำมันดิบโลกขึ้นเป็น +3.1MBD ในปี 2025 และ +2.5MBD ในปี 2026 จากซาอุฯ ที่เพิ่มการผลิตตามโควตาและกลุ่ม non-OPEC+ ที่เพิ่มการผลิตนอกชายฝั่ง สอดคล้องกับมุมมองของ EIA ที่ประเมินการผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐฯ ในปี 2025 จะทำสถิติสูงสุดที่ 13.59MBD เพิ่มขึ้น 2.7%YoY และจะทรงตัวในปี 2026 (Figure 2) และ OPEC ที่ประเมินตลาดน้ำมันในปี 2026 จะเกินดุลเล็กน้อย จากมุมมองเมื่อใน ต.ค. ที่มองตลาดจะขาดดุล เนื่องจากได้ปรับคาดการณ์อุปทานจากกลุ่ม non-OPEC+ เช่นกัน ขณะที่ IEA ได้ปรับคาดการณ์อุปสงค์โลกขึ้นเล็กน้อย ซึ่งประเมินจะเติบโตในระดับต่ำกว่า +800kBD สำหรับทั้งปี 2025 และ 2026 ทำให้ IEA มองว่าตลาดน้ำมันในปี 2026 จะเกินดุลเฉลี่ยสูงกว่าระดับ +4MBD (Figure 3)
มองตลาดน้ำมันมีสัญญาณของภาวะอุปทานล้นเกินชัดเจนขึ้น นับเป็นครั้งแรกในปีนี้ที่ IEA และ OPEC ที่มีมุมมองสอดคล้องกันว่าอุปทานน้ำมันดิบในปี 2026 จะเติบโตเร็วกว่าความต้องการน้ำมันจากการผลิตของกลุ่ม non-OPEC+ ที่เพิ่มขึ้น แม้กลุ่ม OPEC+ ได้ส่งสัญญาณชะลอการเพิ่มการผลิตในช่วง 1Q26 ขณะที่ยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวของอุปสงค์ที่ชัดเจนจากจีนที่เผยตัวเลขเศรษฐกิจใน ต.ค. 2025 ที่สะท้อนการชะลอตัวต่อเนื่อง และสหรัฐฯ ที่ยังไม่มีการเผยตัวเลขเศรษฐกิจเนื่องจากไม่มีการรายงานในช่วงปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ (US Shutdown) และแม้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวได้ยุติลงแล้วแต่กิจกรรมทางเศรษฐกิจยังไม่กลับสู่สภาพปกติ เช่น การเดินทางทางอากาศในสหรัฐฯ ที่ยังไม่กลับมาสู่ภาวะปกติเนื่องจากยังพบปัญหาเที่ยวบินล่าช้าและการยกเลิกเที่ยวบิน (NBCNews, Figure 4) และความกังวล US Shutdown อาจเกิดขึ้นอีกครั้งเนื่องจากกฎหมายงบประมาณชั่วคราวได้จัดสรรงบฯ ให้ถึงวันที่ 30 ม.ค. 2026 (CNBC) แนะนำระมัดระวังการลงทุนในอุตฯ น้ำมันขั้นต้นจากราคาน้ำมันดิบที่คงมีแรงกดดันจากปัจจัยพื้นฐาน และมองธุรกิจโรงกลั่นมีความน่าสนใจมากกว่าในระยะสั้นจากปัจจัยฤดูกาลจากการเดินทางช่วงสิ้นปี และส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปในยุโรปปรับขึ้นโดดเด่นจากการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นทั่วโลก ขณะที่สต็อกน้ำมันสำเร็จรูปอยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะส่วนต่างเบนซินในยุโรปที่ทำระดับสูงที่สุดในรอบ 26 เดือน (Argus) เชิงกลยุทธ์ สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ เก็งกำไรระยะสั้น SPRC ที่มีสัดส่วนผลิตภัณฑ์เบนซินสูง และ TOP ที่มีสัดส่วนผลิตภัณฑ์ดีเซลสูงซึ่งคงมีส่วนต่างราคาที่แข็งแกร่ง แต่มีความเสี่ยงขาลงจากส่วนต่างน้ำมันอากาศยานที่อาจชะลอตัว (Argus) ส่วนเชิงพื้นฐาน ทยอยสะสม BCP ซึ่งเป็นโรงกลั่นที่มีการกระจายความเสี่ยงเชิงธุรกิจสูง
ค่าไฟฟ้างวดถัดไปมีแนวโน้มทรงตัว ต้นทุนเชื้อเพลิงแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง รอสะสมโรงไฟฟ้า
กกพ. เสนอค่าไฟฟ้าสำหรับงวด ม.ค. - เม.ย. 2026 2 กรณี คือ 4.58 และ 3.94 บาท/หน่วย เทียบกับค่าไฟฟ้างวดปัจจุบันที่ 3.94 บาท/หน่วย (Figure 5) ส่วนระดับก๊าซฯ สำรองของยุโรปทรงตัวอยู่ที่ระดับ 82% นับตั้งแต่ได้เข้าสู่ช่วงฤดูหนาวตั้งแต่ปลาย ต.ค. ที่ผ่านมา (Figure 6)
มองเป็นบวกต่อกลุ่มโรงไฟฟ้าจาก SPP Margin ที่มีแนวโน้มจะกว้างขึ้นจากค่าไฟฟ้าในงวดถัดไปมองว่ามีความเป็นไปได้ที่จะทรงตัวที่ 3.94 บาท/หน่วย ทำให้ค่า Ft ทรงตัวที่ระดับ 15.72 สต./หน่วย ขณะที่ต้นทุนเชื้อเพลิงที่มีแนวโน้มลดลง หลัง กกพ. เผยราคาต้นทุน Pool Gas เฉลี่ยใน ต.ค. 2025 ที่ 270.10 บาท/หน่วย ลดลง 5.9%YoY และ 3.1%MoM (Figure 7) และราคา LNG JKM เฉลี่ยช่วง 4Q25TD ลดลง 20.1%YoY และ 6.1%QoQ และล่าสุดราคา JKM ยังทรงตัวที่ระดับ US$11/mmBTU สะท้อนตลาดก๊าซฯ ในยุโรปที่อยู่ในภาวะสมดุลแม้ได้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว (Figure 8) และมี Upside Risk จากโครงการ Direct PPA, โครงการโซลาร์ตามนโยบาย Quick Big Win และความคืบหน้าการจัดทำ PDP เชิงกลยุทธ์ เก็งกำไร BGRIM และ GPSC ที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และเชิงพื้นฐาน สะสม GULF ที่มีการกระจายความเสี่ยงเชิงธุรกิจ แนะนำรอจังหวะเข้าซื้อเมื่อเริ่มเห็นความชัดเจนของประเด็นต่างๆ เช่น การตัดสินใจทิศทางดอกเบี้ยของเฟดใน ธ.ค. 2025 เนื่องจากเฟดขาดข้อมูลด้านเศรษฐกิจประกอบการตัดสินใจจาก US Shutdown, สภาพอากาศช่วงฤดูหนาวที่เพิ่งเริ่มต้น และการเมืองไทยซึ่งมีผลต่อแผนการขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ในอนาคต
ความเสี่ยง: เศรษฐกิจโลกที่ผันผวน, การเมืองในสหรัฐฯ, สถานการณ์ในตะวันออกกลาง, การเมืองในประเทศ, นโยบายพลังงานสหรัฐฯ และไทย, รัสเซีย-ยูเครน, นโยบายการผลิตของ OPEC+