
1.ทองคำ All-time High ครั้งที่ 50 ราคาแตะ $4,530 ทำ Yardeni ปรับเป้าปี 2026 สู่ $6,000
2.เยน-บอนด์ญี่ปุ่นเริ่มนิ่ง หลัง รมว. คลังชี้สถานการณ์ปัจจุบันเป็นเพียงการเก็งกำไรเงินเยน และรัฐบาลจะไม่ตัดภาษีแบบไม่รับผิดชอบ
3.จับตา GDP Q3 สหรัฐฯ คืนนี้และ ความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board) ก่อนเข้าหยุดยาวคริสต์มาส
4.หุ้น Novo Nordisk พุ่งกว่า 5% หลังสหรัฐฯ อนุมัติยาลดน้ำหนักแบบเม็ด
5.Citi เผยสถานะ Short เพิ่มขึ้นในฟิวเจอร์สหุ้นสหรัฐฯ สะท้อนการลดความเสี่ยงก่อนปิดปี
6.SET +0.11% แม้ปรับตัวขึ้น แต่ดัชนีถูกกดดันจากแรงขายหุ้น DELTA
1. ราคาทองคำพุ่งขึ้นทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้งในวันนี้ (23 ธ.ค.) โดยนับเป็นครั้งที่ 50 ของปีที่ราคาทะลุสถิติใหม่ นักลงทุนยังคงเข้าถือครองโลหะมีค่าท่ามกลางความผันผวนของค่าเงินและการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อในระยะยาว โดยราคาทองคำฟิวเจอร์สแตะระดับ $4,530.30 ต่อออนซ์ ขณะที่ราคา Spot ขยับขึ้นสู่ $4,497.82 ยาร์เดนี รีเสิร์ช ได้ปรับเพิ่มเป้าหมายราคาทองคำปลายปี 2026 ขึ้นสู่ระดับ $6,000 และคาดการณ์ว่าจะเห็นระดับ $10,000 ภายในสิ้นทศวรรษนี้ นอกจากนี้แร่เงิน แพลทินัม และพัลลาเดียม ต่างก็ได้รับอานิสงส์ปรับตัวขึ้นตามกัน สวนทางกับราคาน้ำมันดิบ Brent และ WTI ที่เคลื่อนไหวค่อนข้างทรงตัว
2. ตลาดพันธบัตรรัฐบาลและค่าเงินเยนของญี่ปุ่นเริ่มทรงตัวหลังจากเผชิญความผันผวนอย่างหนักจากการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเริ่มลดระดับลงหลังจากที่พุ่งขึ้นในช่วงแรก ขณะที่ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นประมาณ 0.7% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ หลังจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังระบุว่าทางการพร้อมเข้าแทรกแซงตลาดหากมีการเก็งกำไรเกินไป นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีทาคาอิชิยังช่วยคลายความกังวลด้านการคลังด้วยการยืนยันว่าจะไม่ดำเนินนโยบายลดภาษีอย่างไม่รับผิดชอบ ซึ่งช่วยลดแรงกดดันต่อตลาดเงินและตลาดทุนในภูมิภาคที่กำลังกังวลเรื่องการตึงตัวของนโยบายการเงิน
3. นักลงทุนเตรียมรับข้อมูลเศรษฐกิจชุดใหญ่ก่อนเข้าสู่ช่วงหยุดยาววันคริสต์มาส โดยจุดสนใจหลักอยู่ที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธันวาคมจาก Conference Board ซึ่งตลาดคาดหวังว่าจะเห็นการฟื้นตัวหลังจากร่วงลงอย่างหนักในเดือนก่อนหน้า นอกจากนี้จะมีการเปิดเผยตัวเลข GDP ไตรมาส 3 (ฉบับแก้ไข) แม้จะเป็นข้อมูลย้อนหลังแต่ยังมีความสำคัญต่อการมองภาพรวมเศรษฐกิจ รวมถึงตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพฤศจิกายนและยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ซึ่งจะเป็นเครื่องบ่งชี้ความแข็งแกร่งของภาคการผลิตสหรัฐฯ ก่อนเข้าสู่ปี 2026 ท่ามกลางบรรยากาศการลงทุนที่เริ่มเบาบางลงในช่วงท้ายปี
4. หุ้นของ Novo Nordisk บริษัทยาจากเดนมาร์ก พุ่งทะยานกว่า 5% ในตลาดหุ้นโคเปนเฮเกน หลังจากได้รับอนุมัติจากหน่วยงานของสหรัฐฯ ให้จำหน่ายยาลดน้ำหนัก Wegovy ในรูปแบบเม็ด ซึ่งถือเป็นก้าวกระโดดสำคัญในการขยายฐานลูกค้าที่ต้องการความสะดวกมากกว่าการใช้ยาฉีด ในทางตรงกันข้าม หุ้นกลุ่มพลังงานทดแทนอย่าง Ørsted ร่วงหนักกว่า 13% หลังรัฐบาลสหรัฐฯ สั่งระงับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งหลายแห่งในแถบชายฝั่งตะวันออก โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อโครงการสำคัญและฉุดหุ้นที่เกี่ยวข้องอย่าง Dominion Energy และ Equinor ปรับตัวลดลงตามไปด้วย
5. ข้อมูลการลงทุนจาก Citigroup บ่งชี้ว่านักลงทุนทั่วโลกเริ่มเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นในช่วงส่งท้ายปี โดยมีการเพิ่มสถานะขาย (Short Positions) ในสัญญาฟิวเจอร์สดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้สถานะการลงทุนสุทธิกลับมาอยู่ในระดับใกล้เคียงจุดสมดุล (Neutral) การจัดสรรเงินลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่เริ่มชะลอตัวลง ขณะที่หุ้นขนาดเล็กในดัชนี Russell 2000 เริ่มถูกมองในเชิงลบมากขึ้น แม้ว่าระดับกำไรสุทธิในดัชนีส่วนใหญ่จะยังดูดีขึ้น ส่วนดัชนี Nasdaq ยังคงเป็นข้อยกเว้นที่นักลงทุนมีความกังวลเรื่องระดับราคาที่สูงเกินไปเมื่อเทียบกับแนวโน้มผลประกอบการ
6. ตลาดหุ้นไทย (SET) ปิดที่ 1,271.11 จุด เพิ่มขึ้น 1.43 จุด (+0.11%) ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.1 หมื่นล้านบาท ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนบวกได้ตลอดวันจากการกระจายแรงซื้อในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานที่ฟื้นตัวตามราคาน้ำมันและกลุ่มค้าปลีกที่รับอานิสงส์ช่วงเทศกาล อย่างไรก็ตาม แรงขึ้นของดัชนีถูกจำกัดโดยหุ้น DELTA ที่ยังคงมีแรงขายออกมาอย่างต่อเนื่องส่งผลกดดันภาพรวมตลาด
-----
ที่มา: Investing.com และ InnovestX Research
แปลและเรียบเรียง: Content Team, InnovestX
ดาวน์โหลดแอป InnovestX วันนี้ เพื่อเข้าถึงโอกาสการลงทุนในหุ้นสหรัฐและตลาดทั่วโลก
📱 ดาวน์โหลดแอป: https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b