Trading Basics

[Trader Foundation Series] กฎเหล็ก 3 ข้อของการ "การรักษาเงินทุนให้คงอยู่" ในปีแรก: The Survivor's Mindset

4 Dec 25 11:48 AM
รู้จักผลิตภัณฑ์ลงทุน3
สรุปสาระสำคัญ

แม้คุณจะถือดาบที่คมกริบอย่าง Leverage ไว้ในมือ แต่หากไร้ซึ่งชุดเกราะที่แข็งแกร่งอย่าง Mindset ตลาดแห่งนี้ก็พร้อมจะปลิดชีพคุณได้จากการพลาดพลั้งเพียงครั้งเดียว เป้าหมายในปีแรกจึงไม่ใช่ความร่ำรวย แต่คือการรอดชีวิตกลับมาให้ได้ คุณต้องเริ่มจากการเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อการขาดทุน เลิกมอง Stop Loss เป็นความพ่ายแพ้ แต่จงยอมรับมันในฐานะต้นทุนทางธุรกิจที่ต้องจ่ายเพื่อจำกัดความเสียหายไว้อย่างเข้มงวด พร้อมกับผันตัวจากนักพนันมาเป็นเจ้ามือที่คุมเกมด้วยสถิติและความน่าจะเป็น เพื่อสร้างความสม่ำเสมอในระยะยาวมากกว่าจะหวังพึ่งโชคชะตา ที่สำคัญที่สุดคือการเอาชนะศัตรูภายในใจ เมื่อไหร่ที่พลาดเจ็บหนัก อย่าปล่อยให้ปีศาจแห่งการเอาคืนเข้าครอบงำจนขาดสติ แต่จงกล้าที่จะหยุดพักเพื่อรักษาเงินต้น เพราะในสนามรบนี้ ผู้ชนะที่แท้จริงไม่ใช่นักรบที่แกว่งดาบเก่งที่สุด แต่คือคนที่รู้จักสวมเกราะป้องกันตัวเองจนยืนหยัดอยู่ได้เป็นคนสุดท้าย

ถ้าบทเรียนแรกสอนเรื่องอาวุธ (Leverage) บทเรียนนี้จะสอนเรื่อง ชุดเกราะ (Mindset)

เราสามารถมีระบบเทรดที่ดีที่สุดในโลก มีความแม่นยำ 80% แต่ถ้ายังไม่เข้าใจกฎเหล็ก 3 ข้อนี้ ตลาด F&O ที่มีอัตราทดสูงจะรอลงโทษเมื่อผิดพลาดเพียงครั้งเดียว

เป้าหมายของเราในปีแรกไม่ใช่การทำกำไรสูงสุด แต่คือการอยู่รอดให้พ้นปี การอยู่รอดคือการรักษาเงินต้นให้พร้อมสำหรับการเติบโตในอนาคต นี่คือจิตวิทยาพื้นฐานที่เทรดเดอร์มืออาชีพทุกคนต้องมี ซึ่งเป็นบทเรียนที่มีราคาแพงที่สุดในการเทรด

 

  1. กฎข้อที่ 1: การจำกัดการขาดทุน คือ "ค่าเช่า" ที่ต้องจ่ายให้ตลาด

ผู้เริ่มต้นมอง Stop Loss เป็น "ความพ่ายแพ้" แต่เทรดเดอร์มืออาชีพมอง Stop Loss เป็น "ต้นทุนในการทำธุรกิจ"

         1.1 Stop Loss คือการซื้อประกัน (ไม่ใช่ความพ่ายแพ้)

ในตลาดที่มี Leverage สูง การขาดทุนแต่ละครั้งถูกขยายผลให้ใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว หน้าที่ของเราคือการจำกัดความเสียหายนั้นไว้ตั้งแต่ก่อนเริ่มเทรด

  • มุมมองที่ต้องเปลี่ยน: ต้องเปลี่ยนจากการถามว่า "จะได้กำไรเท่าไหร่?" เป็น "จะยอมขาดทุนได้สูงสุดเท่าไหร่ในแต่ละครั้ง?"
  • ค่าตัวเลขที่เข้มงวด: สำหรับผู้เริ่มต้นในตลาด F&O ราแนะนำว่าการขาดทุนในแต่ละการเทรด (Risk per Trade) ไม่ควรเกิน 1% ของพอร์ตทั้งหมด

 

กรณีศึกษา: การขาดทุน 1% ที่เปลี่ยนเกม

การขาดทุนติดกัน 5 ครั้งที่ 10% (แบบไม่มี Stop Loss) อาจทำให้พอร์ตลดลง 50% และการกู้คืนต้องใช้กำไรถึง 100% แต่ถ้าขาดทุน 5 ครั้ง ที่ 1% ของพอร์ต (รวมขาดทุน 5%) สามารถกู้คืนได้ด้วยกำไรเพียง 5.26% เท่านั้น

นี่คือคณิตศาสตร์แห่งความอยู่รอดที่ไม่มีใครสอน การขาดทุนน้อยๆ ช่วยให้ยังคงมีเงินทุนและกำลังใจในการกลับมาเล่นเกมได้ โดยสามารถอ่านเรื่อง Loss Recovery เพิ่มเติมได้ที่นี่

 

         1.2 การตั้ง Stop Loss ต้อง "มีวินัย" เหนือ "อารมณ์"

เทรดเดอร์มักมีอาการ "หวังว่า" หรือ "ทนไม่ไหวที่จะคัท" เมื่อราคาใกล้ถึงจุด Stop Loss ที่ตั้งไว้แล้วเด้งกลับ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดหายนะครั้งใหญ่เราต้องตระหนักว่า เมื่อตั้ง Stop Loss ไว้ในระบบแล้ว ห้ามเลื่อนมันออกไปเด็ดขาด (No moving Stop Loss against the trade)

 

  1. กฎข้อที่ 2: ความสม่ำเสมอ สำคัญกว่า "กำไรคำใหญ่"

เทรดเดอร์ที่อยู่รอดในระยะยาวไม่ได้ทำกำไร 100% ในเดือนเดียว แต่พวกเขาทำกำไรที่ สม่ำเสมอ เดือนแล้วเดือนเล่า

         2.1 Expectancy: เดิมพันด้วย "ความน่าจะเป็น" ไม่ใช่ "โชค"

การเทรดคือเกมแห่งความน่าจะเป็นเราไม่จำเป็นต้องถูกทุกครั้ง แต่ต้องมั่นใจว่า "เมื่อถูกทาง จะได้กำไรมากกว่าเมื่อผิดทาง"

Expectancy Formula: นี่คือสูตรที่เราต้องคำนวณให้ได้

Expectancy = (Win Rate × Average Win) - (Loss Rate × Average Loss)

 

               2.1.1 ใช้ Expectancy เพื่ออะไร

การได้ค่า Expectancy (ความคาดหวังต่อการเทรด 1 ครั้ง) ที่เป็นบวกมาแล้ว ไม่ได้หมายความว่าจบ แต่มันคือ จุดเริ่มต้นของการเป็นเจ้าของธุรกิจสถิติ เพราะเราจะนำค่านี้ไปใช้ในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุด 2 ด้าน:

  • มาตรวัดสุขภาพของระบบ (System Health Check):
    • การใช้งาน: ใช้เพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์ระหว่างระบบเทรด หรือการปรับปรุงระบบ
    • ความสำคัญ: หากระบบ A มี Expectancy 500 บาท/สัญญา และระบบ B มี Expectancy 700 บาท/สัญญา เราควรเลือก ระบบ B ทันที เพราะมันบอกว่าระบบนี้ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อความเสี่ยงที่ดีกว่า การคำนวณซ้ำทุกครั้งที่มีการปรับเปลี่ยนกฎการเข้า-ออก จะช่วยยืนยันว่าการเปลี่ยนแปลงนั้น "ดีขึ้นจริง" ในทางสถิติ
  • ใช้กำหนดขนาดการเทรด (Position Sizing):
    • หลักการ: ยิ่ง Expectancy ของระบบสูงเท่าไร เราก็ยิ่งสามารถเพิ่มขนาดการเทรด (Position Size) ได้อย่างมั่นใจมากขึ้นเท่านั้น โดยมีหลักการทางคณิตศาสตร์รองรับ ไม่ใช่การเพิ่มแบบสุ่มเสี่ยง
    • ผลกระทบ: เมื่อรู้ว่าระบบของเราทำกำไรได้ในระยะยาว (Expectancy เป็นบวก) เราจะมีความอดทนในการเทรดตามสัญญาณมากขึ้น และไม่หวั่นไหวกับการขาดทุนติดกัน (Drawdown) เพราะรู้ว่าระบบจะกลับมาทำกำไรได้ในที่สุด

rrr.png

 

2.2 Long Options: ทางเลือกสู่ความเสถียรของ Expectancy

ในการเทรด SET50 Index Futures นั้น ค่า Average Loss ขึ้นอยู่กับ Stop Loss ที่เราตั้งไว้ แต่ถ้าเราเลือกใช้ Long Options (เช่น Long Call หรือ Long Put) จะเกิดอะไรขึ้น?

  • ความได้เปรียบทางคณิตศาสตร์: เมื่อเข้าซื้อ Long Options จะต้องจ่ายเพียง ค่า Premium เท่านั้น การขาดทุนสูงสุดจึงถูกจำกัดไว้ที่ Premium นั้นโดยอัตโนมัติ
  • ผลต่อ Expectancy: การรู้ขีดจำกัดการขาดทุนที่แน่นอน (Fixing the Average Loss) ทำให้สูตร Expectancy มีความแม่นยำและเสถียรมากขึ้นอย่างมาก เทรดเดอร์ สามารถวางแผนการเทรดได้อย่างมั่นใจ โดยไม่ต้องกังวลว่า Stop Loss จะถูกเลื่อนหรือพลาดไป การใช้ Long Options จึงเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมในการควบคุมความเสี่ยงในตลาดที่มี Leverage สูง โดยไม่จำเป็นต้องละทิ้งการเทรด Futures เพียงแต่เป็นการเสนอมุมมองทางเลือกที่ช่วยบริหารความเสี่ยง

 

rrr2.jpg

 

  1. กฎข้อที่ 3: กำจัด "อคติ" และเทรดแบบไร้อารมณ์

จิตวิทยาที่ซับซ้อนที่สุดคือการจัดการกับ อคติทางความคิด (Cognitive Bias) ซึ่งเป็นสิ่งที่แยกมนุษย์ออกจาก Robot

 

         3.1 Confirmation Bias: กับดักที่ทำให้เห็นแต่สิ่งที่ "อยากเห็น"

เมื่อเปิด Long Position ใน SET50 Futures แล้ว มักจะหาแต่ข่าวหรืออินดิเคเตอร์ที่สนับสนุนให้ราคาขึ้นเท่านั้น และมองข้ามสัญญาณขาลงทั้งหมด

  • วิธีป้องกัน: ก่อนเปิดสถานะ ให้เราบังคับตัวเองเขียนเหตุผล 3 ข้อ ที่ราคา อาจจะสวนทาง กับที่คาดการณ์เสมอ (ฝึกมองโลกในแง่ร้ายอย่างมีกลยุทธ์)

3.2 Revenge Trading: อย่าให้ตลาดเอาคืนเราได้ 2 ครั้ง

เมื่อขาดทุนครั้งใหญ่ (ซึ่งจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน) สัญชาตญาณแรกคือ "เอาคืน" หรือ "กู้พอร์ต" นี่คือช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด เพราะอารมณ์โกรธจะเข้ามาแทนที่ตรรกะ

  • คำแนะนำ: เมื่อขาดทุนใหญ่ ให้เราหยุดเทรดทันทีและ พักการเทรดอย่างน้อย 24 ชั่วโมง การหยุดพักคือการยอมรับความพ่ายแพ้ในยกนั้น และสงวนกำลังไว้สู้ต่อในยกต่อไป

 

  1. บทสรุปและสะพานสู่สัปดาห์หน้า

การอยู่รอดในตลาด F&O คือการฝึกฝนจิตใจให้แข็งแกร่งกว่าพายุในตลาด โดยเฉพาะการจัดการความกลัวและความโลภ

บทเรียนถัดไป เราจะเจาะลึกไปที่ปัจจัยภายนอกและภายในที่ควบคุมยากยิ่งกว่า

  1. Zero-Sum Game: เราจะทำความเข้าใจกลไกของตลาด F&O อย่างแท้จริง ว่าเงินของใครที่กำลังจ่ายให้เรา และการแข่งขันนี้ดุเดือดเพียงใด
  2. Ego vs. Market: เราจะวิเคราะห์ว่าทำไมคนเก่งที่ประสบความสำเร็จในโลกธุรกิจหรือวิชาการ ถึงมักจะล้มเหลวในการเทรด F&O และวิธีที่จะเอาชนะ "อีโก้" ของตัวเอง

 

แหล่งข้อมูลสำหรับศึกษาเพิ่มเติม

หลักการ Expectancy และ Position Sizing (Dr. Van Tharp)

    • ความเกี่ยวข้อง: แนวคิดในการคำนวณความคาดหวังของระบบเทรด (Expectancy) และการกำหนดขนาดการเทรด (Position Sizing) ด้วยสูตร P = C/R (Position Size = Total Capital Risk / Unit Risk) เพื่อให้พอร์ตเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพและควบคุม Drawdown ได้

จิตวิทยาการเทรด (Mark Douglas)

  • Mark Douglas (Trading in the Zone)
    • ความเกี่ยวข้อง: ตำราคลาสสิกด้านจิตวิทยาการเทรด ที่เน้นการกำจัดอคติ (Bias) ความกลัว (Fear) และความลังเล (Hesitation) โดยการยอมรับความเสี่ยงอย่างแท้จริง และการสร้างกรอบความคิดแบบสถิติ (Probabilistic Mindset)

       

       

⚠️ คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนการซื้อขายฟิวเจอร์สและออปชั่น มีความเสี่ยงสูงที่อาจก่อนให้เกิดผลขาดทุนอย่างมีนัยสำคัญจังไม่เหมาะสมกับบุคคลทุกคน ก่อนตัดสินใจซื้อขายฟิวเจอร์สและออปชั่น ท่านควรพิจารณาถึงฐานะทางการเงินวัตถุประสงค์การลงทุน ตลอดจนความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้อย่างรอบคอบเนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่ท่านอาจสุญเสียเงินลงทุนมากกว่าเงินลงทุนเริ่มแรก

 

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5